Thursday, June 10, 2010

นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี

บ้านเลขที่ 319/5 หมู่ 2 การเคหะทุ่งสองห้อง แขวงทุ่งสอง ห้อง เขตหลักสี่ กทม. ของนายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี 1 ใน 6 เหยื่อกระสุนปืนที่เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามราช วรวิหาร เขตอภัยทาน โดยนายรพเป็นศพสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ภายในสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. ญาติเพิ่งขอรับกลับไปทำพิธีทางศาสนาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระบุชื่อผิดเป็นนายวิชัย มั่นแพ อายุ 30 ปี จนเกิดความสับสน

นางสมพิศ สุขสถิตย์ อายุ 59 ปี ภรรยานายรพ เผยว่า สามีเป็นคนขับรถลีมูซีนส่งผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปกติเป็นคนสนุกสนานร่าเริงคุยสนุก และขยันขันแข็ง เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของบ้าน การทำงานของสามีจะเป็นกะ ไปกินนอนที่สนามบิน สุวรรณภูมิครั้งละ 5-6 วัน จากนั้นกลับมาพักที่บ้านประมาณ 5 วัน ทุกครั้งที่หยุดงานจะมีเพื่อนชวนไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเป็นประจำ แต่ไม่ค่อยนำมาเล่าให้ที่บ้านฟัง เนื่องจากคนในบ้านไม่ใช่คนเสื้อแดง และไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากทำมาหากิน ครั้งสุดท้ายที่เห็นสามีประมาณวันที่ 17-18 พ.ค. โดยนายรพเพิ่งกลับจากที่ชุมนุมมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังเข้าใจว่าจะ
ไปทำงาน ไม่คิดว่ากลับไปร่วมชุมนุมจนต้องมาจบชีวิตลง

นางสมพิศกล่าวว่า คิดแต่เพียงว่าสามีไปทำงาน เมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและทหาร จึงไม่ได้สนใจอะไร จนผ่านไป 2-3 วัน มีเพื่อนมาถามหาว่าปลอดภัยหรือไม่ จึงเริ่มสะกิดใจให้ลูกชายไปสอบถามบริษัมรถลีมูซีนที่สามีทำงานอยู่ เลยรู้ว่าหายตัวไป จึงรีบไปแจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง พอตรวจชื่อคนตายไม่พบชื่อสามี จึงคิดว่าคงเพียงแค่รับบาดเจ็บหรือถูกจับเท่านั้น จึงแยกกับลูกชาย 2 คน คือ นายชยรพ สุขสถิตย์ และนายสุรศักดิ์ สุขสถิตย์ ออกตามหาที่ร.พ.ต่างๆ รวมถึงที่ศอฉ. ทั้งที่กองทัพภาคที่ 1 และ ร.11 รอ. รวมถึงเรือนจำทุกแห่งที่มีข่าวว่าควบคุมตัวกลุ่มคนเสื้อแดงไว้ แต่ไม่พบสักแห่ง

"วันหนึ่งสุรศักดิ์ลูกชายป้า โทรศัพท์มาบอกว่าเจอพ่อแล้ว แต่ไม่เจอตัว เห็นในหนังสือพิมพ์ว่าพ่อนอนตายอยู่ แล้วสุรศักดิ์ก็ไปโรงพยาบาลตำรวจเพื่อขอดูศพ แต่เดินวนเวียนอยู่หน้าโรงพยาบาลไม่กล้าเข้าไป เพราะคนที่ตายไม่ใช่ชื่อพ่อ แต่เห็นว่าเหลือเพียงศพเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มีญาติมารับจึงตัดสินใจเข้าไปขอดูศพ และพบว่าเป็นพ่อจริงๆ จึงขอรับศพกลับมาทำพิธีและเพิ่งเผาไปเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. และไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรกลับมาเลย ทั้งกระเป๋าสตางค์ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาหรือทรัพย์สินอื่น" ภรรยาเหยื่อกล่าว

นางสมพิศกล่าวอีกว่า ช่วงงานศพมีเพื่อนบ้านและคนเสื้อแดงมาช่วยงานตลอด และร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย ส่วนการช่วยเหลือจากทางราชการ ยังไม่มีอะไรให้ ทั้งที่ไปลงทะเบียนขอความช่วยเหลือทุกแห่งตามที่แจ้งไว้ มีแต่บอกว่าจะติดต่อกลับมาภายใน 1 เดือน หากไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา ให้ไปตามเรื่องเองอีกครั้งเท่านั้น

ด้านนายชยรพ สุขสถิตย์ บุตรชาย กล่าวว่า เมื่อทราบว่าพ่อหายไปได้ออกตามหาพ่อ ร่วมกับน้องชายคือนายสุรศักดิ์ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาพ่อที่ไหน เลยคิดว่าน่าจะไปตามที่ที่คิดว่าพ่อน่าจะไป โดยแบ่งสถานที่กันไปตามหา ตนออกตามหาที่บ้านของญาติทุกคน ทั้งบ้านอา บ้านย่า ส่วนน้องชายจะไปตามหาที่ทำงานพ่อคือสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาตามหาประมาณ 1 สัปดาห์ ต่อมาน้องชายไปเจอรูปของพ่อในหนังสือพิมพ์ เลยมั่นใจว่าพ่อเป็นคนในภาพนั้น จึงไปตามที่สถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ เพื่อไปขอดูศพที่ไม่มีญาติ ซึ่งขณะนั้นเหลืออยู่ศพเดียวที่ไม่มีญาติมาติดต่อรับดูแล ตนก็มั่นใจว่าต้องเป็นพ่อแน่นอน แต่ทางนิติเวชกลับระบุชื่อผิดเป็นนายวิชัย มั่นแพ อายุ 30 ปี แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เมื่อแสดงหลักฐานแล้วก็ขอรับศพพ่อมาทำพิธีทางศาสนา

No comments:

Post a Comment