Wednesday, June 9, 2010

น.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี

ที่บ้านของน.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี ที่บ้านหลังใหม่เลขที่ 199 ม.14 บ้านนาพูลทรัพย์ ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี หนึ่งในผู้โชคร้ายที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าลำคอตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุด้านหลังจนเสียชีวิต เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณปากซอยหมอเหล็ง กทม. โดยได้พบกับนายบุญถม สรรพศรี อายุ 53 ปี และนางวิไลวรรณ สรรพศรี อายุ 48 ปี บิดาและมารดาของน.ส.สัญธะนา ซึ่งมีอาชีพทำนาทำไร่ หลังกลับจากเดินทางขนข้าวของเครื่องใช้ของลูกสาวจากอพาร์ตเมนต์ที่เช่าพักอาศัยกลับไปจ.อุดรธานีบ้านเกิด

นายบุญถม กล่าวว่า น.ส.สัญธะนาเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 2 คน อีกคนคือ น.ส.นาฏยา สรรพศรี อายุ 25 ปี ก่อนหน้านี้ "น้องไก่" ชอบร้องเพลงเนื่องจากเป็นคนเสียงดี ได้เที่ยวไปร้องตามงานประกวดหลายแห่งได้รางวัลมามากมาย โดยตนได้พาตระเวนร้องเพลงมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.6 จนมาจบ ม.6 ที่กศน. หลังจากนั้นเมื่อปี 2544 ลูกสาวได้สมัครกับบริษัทจัดหางานที่หน้าบ.ข.ส.ใหม่อุดรฯ เดินทางไปทำงานเย็บผ้าที่ประเทศไต้หวัน อยู่ที่นั่นนาน 3 ปี จากนั้นไปใช้แรงงานตัดเย็บผ้าต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

"ขณะเดียวกันได้ขึ้นร้องเพลงไปด้วย กระทั่งกลับมาบ้านเมื่อปี 2549 ได้เป็นล่ามพาคนญี่ปุ่นเที่ยว ต่อมาได้เข้าทำงานของบริษัทซากุเทรดดิ้ง ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ อยู่ย่านมักกะสัน เลื่อนชั้นจนได้ตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกจัดส่งสินค้า" บิดา กล่าว

นายบุญถม กล่าวต่อว่า ขณะที่ทำงาน ลูกสาวเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ จะส่งเงินมาช่วยทางบ้านทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาทขึ้นไปด้วยบอกว่าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากอยากให้อยู่บ้านเฉยๆ ต่อมาเมื่อเห็นตนกับน.ส.นาฏยาน้องสาว อยากจะมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้า เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา น้องไก่ จึงผ่อนรถยนต์ ปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน บจ 7363 อุดรธานี ให้และได้ส่งเงินมาเพิ่มถึงเดือนละ 10,000 บาททุกเดือน โดยตนจะไปรับเสื้อผ้าจากอุดรฯ หรือรับจากกทม.ที่น้องไก่ซื้อส่งมาให้ นำไปขายตามตลาดนัด โดยขายมาได้ 3 เดือนแล้วกิจการไปได้ดี

ด้านนางวิไลวรรณ กล่าวว่า ในทุกปีช่วงงานบุญบั้งไฟ ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมขบวนงาน นอกจากจะไปอยู่ที่ต่างประเทศเท่านั้นที่ไม่ได้มา โดยลูกสาวบอกจะกลับบ้านในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งงานมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ค. แต่น้องไก่มาถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน ตนมารู้ข่าวเรื่องของลูกสาวในเวลา 21.00 น. วันที่ 14 พ.ค. โดยทางร.พ.พญาไท 1 แจ้งให้ทราบ ขณะอยู่ที่ตลาด ถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก จึงได้พากันขึ้นไปกทม.เพื่อติดต่อขอรับศพ

นางวิไลวรรณ กล่าวต่อว่า โดยทราบจากทางบริษัทว่า วันนั้นน้องไก่เคลียร์งานยังไม่เสร็จ จึงขอผู้จัดการใหญ่ทำต่อจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มที่พึ่งคบหาพาไปที่พักของลูกสาว ที่เช่าอยู่คนเดียวในซอยหมอเหล็ง ระหว่างนั้นมีทหารเรียกให้หยุด ต่อมาได้มีเสียงปืนดังขึ้นยิงมาถูกไหล่ซ้ายของแฟนหนุ่ม ทะลุไปโดนต้นคอของน้องไก่ตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุทางด้านหลังออกไป

"ระหว่างนั้นได้มีคนพาทั้ง 2 ไปส่งยังร.พ. พญาไท 1 และลูกสาวได้เสียชีวิตทันที ส่วนแฟนลูกสาวแพทย์ได้รักษาเย็บถึง 20 เข็มและรอดชีวิตในที่สุด หลังทราบเรื่องดิฉันไม่รู้จะไปเอาอะไรที่ใคร มันมึนไปหมด จากนั้นจึงติดต่อขอรับศพและจ้างรถของโรงพยาบาลในราคา 13,700 บาท นำศพของน้องไก่ มาบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสะอาด ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ" มารดา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

นางวิไลวรรณ กล่าวอีกว่า หลังจากนำศพลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลทางศาสนาตั้งแต่วันที่ 15-17 พ.ค.แล้ว ได้บรรจุศพเก็บไว้ที่วัดตามประเพณีที่เขาห้ามเผาจนกว่าจะครบ 3 ปี และในวันบรรจุศพได้มีนายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี นายศักดิ์ แตงฮ่อ นายอำเภอเพ็ญ พร้อมด้วยปลัดอำเภอและข้าราชการ มาร่วมงาน พร้อมมอบเงินช่วยศพ 13,000 บาท นอกจากนั้นยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท และทางบริษัทได้ช่วยเหลือมาอีก 1 แสนบาท

"ส่วนทางศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตั้งอยู่บ้านราชวิถี เพียงขอเบอร์โทร. ไว้ บอกว่าตอนนี้เงินที่จะช่วยเหลือหมด ต้องรอจ่ายให้กับชุดที่ถูกยิงเมื่อเดือนเม.ย.ให้หมดเสียก่อนแล้วจึงจะช่วย ส่วนทางด้านประกันสังคมหลักฐานยังไม่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้ยื่น แล้วยังไม่ทราบว่าจะได้เท่าไหร่" มารดา กล่าว

นางวิไลวรรณ กล่าวตอนท้ายว่า ตอนนี้ตนเสียเสาหลักของครอบครัว เพราะน้องไก่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้าน เมื่อเขารู้ว่าที่บ้านอยากได้อะไร ก็จะหามาให้เพราะอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้อยากให้รัฐบาลได้ช่วยเหลือตนบ้าง เพราะมีหนี้ที่ต้องผ่อนรถยนต์ ส่วนคนที่ยิงลูกสาวยังไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับใคร ถือเป็นเวรกรรม ใครทำกรรมไว้ก็จะได้รับผลกรรมเอง และอยากเห็นคนไทยมารักกันให้มาก จะได้ไม่ต้องสูญเสียคนที่เรารักอีก

No comments:

Post a Comment