Wednesday, June 9, 2010

นายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี

ที่บ้านเลขที่ 133 ม.10 บ้านร่องายง ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมชุม นุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณราชประสงค์ และถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาได้มีพิธีเผาศพที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านพบนางหลั่น สุขคำภา อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายเฝ้าบ้านเพียงลำพัง

นางหลั่นกล่าวว่า นายสุพจน์เป็นลูกเขย แต่เดิมเป็นคนจ.ลำพูนได้มาแต่งงานอยู่กินกับนางสุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ลูกสาวมานาน โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนหลังนี้ตั้งแต่แรก ปกติเวลาอยู่บ้านคนตายจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้าที่ลูกเขยจะเสียชีวิตได้พาลูกชายตนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิดจ.ลำพูน และกลับมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.

"ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ลูกเขยได้เดินทางไปหาน้าสาวที่กรุงเทพฯ โดยดิฉันไม่ทราบว่าไปทำ งานอะไรแต่มีญาติโทร.คุยกันทราบว่าไปเป็นยามเพิ่งไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น กระทั่งมาเสียชีวิต ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าลูกเขยได้เข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทางบ้านไม่มีใครทราบเลย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนาง สุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ภรรยานายสุพจน์ ซึ่งทำงานอยู่ในร้านขายส่งขนมกิจทวี ภายในตลาด สดนครไทย ที่ยังสวมเสื้อสีดำไว้ทุกข์ให้กับสามี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านนี้มานานแล้ว ก่อนที่จะแต่งงานกับนายสุพจน์ หลังแต่งงาน อยู่กินด้วยกันจนมีลูกชาย 1 คนชื่อ ด.ช.ภูวดล ยะธิมา เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านป่าซ่าน ต.บ้านพร้าว ส่วนสามีเดินทางไปๆ มาๆ กรุง เทพฯได้ประมาณ 1 ปี ครั้งล่าสุดมาทำงานเป็นยาม และได้ส่งเงินมาให้ทางบ้านทุกเดือน เพราะเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และนำไปใช้หนี้ที่กู้ธ.ก.ส.มา 100,000 บาท นางสุมิตรากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าสามีถูกยิง หลังรับทราบ ช่วงเย็นจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับญาติทันที ส่วนศพสามีถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังจากจัดพิธีเผาเสร็จ เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังจำนวน 50,000 บาท ได้แบ่งเงิน 2 ส่วน ให้พ่อแม่สามี และตนกับลูก โดยแบ่งกันฝ่ายละ 25,000 บาท

No comments:

Post a Comment