Friday, June 11, 2010

นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายนพดล นิลเหลือง น้องชายของนายเสน่ห์ ว่า ในวันเกิดเหตุตนและพี่ชายกำลังจะนำรถแท็กซี่ไปเปลี่ยนกันที่บ้านพี่สาว บริเวณแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตนโทรศัพท์คุยกับพี่ชายที่กำลังเดินทางมาบ้านพี่สาว พี่ชายบอกว่า ถนนถูกปิดหมด พี่ชายจึงลงรถที่คลองเตยแล้วเดินมา แต่เมื่อมาถึงแยกบ่อนไก่มีทหารกั้นไม่ให้เข้า พี่ชายจึงเดินเลาะมาทางสวนลุมไนท์ บาซาร์ ขณะที่ตนกำลังขับจักรยานยนต์จะไปรับพี่ชาย มีคนโทร.มาบอกว่าพี่ชายโดนยิงที่หน้าอก นัดเดียวตัดขั้วหัวใจทะลุหลัง ตอนที่ทราบข่าวก็ไม่คิดว่าพี่ชายจะถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธที่ใช้คล้ายกับอาวุธสงคราม ไม่น่าจะใช่ปืนลูกซอง ตอนนั้นทหารอยู่บริเวณสนามมวย ส่วนพี่ชายผมอยู่ด้านหลังของแนวร่วมกลุ่มฮาร์ดคอร์ พี่ชายผมยังไม่ทันเดินผ่านแนวฮาร์ดคอร์ ก็โดนยิงเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นฝ่ายยิง แต่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก็ไปดูจุดที่เกิดเหตุการณ์ เห็นรอยกระสุนที่สะพานลอย ราวเหล็ก มาจากแนวทหารทั้งนั้น

"ผมเลยคิดว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในแนวทหาร ทำไมทหารไม่จัดการ แล้วพี่ชายผมไม่มีอาวุธ ทำไมคุณถึงต้องยิงคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วย" นายนพดลกล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ปกตินิสัยของพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพียงแต่วันนั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวพอดี พี่ชายอยู่กับแฟนและลูกติด อีก 4 คน อยู่กินกันมาหลายปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ภาระจะอยู่ที่การส่งเสียค่าเล่าเรียนลูกเลี้ยงคนเล็ก และครอบครัวของพี่ชายหลังจากการเสียของพี่ชายเองน่าจะมีปัญหา เนื่องจากรายได้ของแฟนพี่ชายมีเพียงไม่กี่พันบาทจากอาชีพแม่บ้านชั่วคราว ที่มีงานก็ได้เงิน แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีรายได้อะไรเลย แต่โชคดีอยู่บ้างตรงที่พี่ชายเป็นคนสมถะ จึงไม่ได้ทิ้งหนี้สินอะไรไว้ให้กับครอบครัวหรือญาติพี่น้อง

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง ตนทำใจได้บ้างแล้ว แต่พี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็ก จนถึงตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ พอเวลาเข้านอนครั้งใด ร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากมีความผูกพันกันมาก ถึงตอนนี้การช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่มีติดต่อเข้ามา ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ หรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงตนที่ติดต่อเรื่องเข้าไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนอื่นมีช่วยเหลือมาแล้ว คือสำนักพระราช วัง และพรรคเพื่อไทย

"แต่ที่ยังค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ คือวันที่เกิดเหตุนั้น สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าไปแจ้งความได้ หลังจากวันนั้นจึงเข้าไปแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับบอกว่ามีคนแจ้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใคร ไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่มีหลักฐานใดๆ ขอดูหลักฐานการแจ้งความก็ไม่ให้ดู ร้อยเวรประจำวันก็หลบหน้า แค่อยากรู้ว่าคนที่แจ้งความเป็นใคร เพราะรับไม่ได้ที่แจ้งว่าพี่ชายเป็นพวกฮาร์ดคอร์ เป็นพวกเสื้อแดงหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ตรงนี้ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เรียกร้องอย่างเดียว ไม่ใช่เงินทอง แต่อย่ามาพูดว่าที่พี่ชายเสียชีวิต เพราะเป็นพวกก่อการร้าย มันไม่ใช่ความจริง รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ว่าทำผิดพลาดลงไป ต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป" นายนพดลกล่าว

ที่มา วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7124 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNekF4TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TVE9PQ==

No comments:

Post a Comment