Friday, June 11, 2010

ปริศนาเอ็ม79ลึกลับ สน.ลุมพินี-ตึกเคี่ยนหงวน


การ "กระชับพื้นที่" ระหว่างวันที่ 14-19 พ.ค. ยังมีปมประเด็นที่รอการสะสางอีกมากมาย

รวมถึงกรณียิงเอ็ม 79 ใส่สน.ลุมพินี, และกองกำลังบนตึกเคี่ยนหงวน ที่ทางราชการ ระบุเป็นจุดยิงถล่มสน.ลุมพินี

นักข่าวรายหนึ่งที่อยู่ในพื้นที่ ได้ตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับ 2 กรณีไว้ดังนี้

1. กรณีสน.ลุมพินี 


เช้ามืด 19 พ.ค. ผมวนเวียนทำข่าวในจุดต่างๆ ที่มีการปะทะกันระหว่างกลุ่ม นปช. กับทหาร ในจุดบ่อนไก่ และถนนวิทยุ เป็นพื้นที่ที่ได้รับมอบหมายให้ไปติดตามสถานการณ์บ่อยที่สุด

มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้อาวุธของการ์ด นปช. ซึ่งทางทหารใช้เป็นเหตุผลว่าทำให้ทหารต้องใช้ปืนสงครามและกระสุนจริงในการปฏิบัติการ

หลังทหารปะทะกับผู้ชุมนุมบนถนนวิทยุ หน้าสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี ในวันที่ 14 พ.ค. หนึ่งวันหลังจากนั้น ผมได้พูดคุยกับชาวบ้านหลังสน.ลุมพินี และตำรวจจากมุกดา หาร ซึ่งถูกส่งมาช่วยภารกิจปราบจลาจล จำนวน 1 หมวด

คำบอกเล่าของตำรวจมุกดาหารน่าสนใจมาก

ก่อนหน้าทหารเข้ากระชับวงล้อม พวกเขา ปักหลักอยู่ภายในสวนลุมพินีบริเวณเวทีลีลาศ แต่ในวันที่ทหารเข้ากระชับวงล้อม 14 พ.ค. และปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมหน้าสน.ลุมพินี พวกเขาถูกขับไล่ออกจากสวนลุมพินี 

ตำรวจมุกดาหารหนึ่งหมวดต้องเก็บกระ บองและโล่ ออกจากสวนลุมพินี

ตอนแรกบอกว่าด้วยความน้อยใจ จะเดินทางกลับมุกดาหาร แต่ไม่มีคำสั่งให้กลับ จึงไปขออาศัยอยู่บริเวณรอบๆ สน.ลุมพินี



อาศัยอยู่ได้เกือบหนึ่งวันเต็มก็มาเกิดเหตุขึ้นกับสน.ลุมพินี

ราวห้าโมงกว่า วันที่ 15 พ.ค. ระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาโดยไม่ทราบทิศทาง เข้าใส่ สน. ลุมพินี 3 ลูก ลูกแรกตกในสวนลุมพินี ใกล้กำแพง ลูกที่สอง ตกหน้าหอพักชายโสดของ สน.ลุมพินี แต่ไม่ระเบิด และลูกสุดท้ายตกใส่แฟลตตำรวจ จนมีตำรวจและครอบครัวบาดเจ็บ 4 คน

หลังเกิดเหตุ ตำรวจเข้าตรวจสอบจุดที่กระสุนตกลงมา เพื่อดูทิศทาง พบว่าระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงออกมาจากสวนลุมพินี ตำรวจจำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้น สบถด่าพวกที่ยิงให้ผมและนักข่าวคนอื่นได้ยิน

ผ่านไปราว 3 ชั่วโมง เหตุการณ์ลักษณะเดียวกันก็เกิดขึ้นกับสน.ลุมพินีอีก เวลาประมาณ 2 ทุ่มกว่า มีระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงเข้าใส่สน.ลุมพินี และบริเวณรอบๆ อีก 8 นัด ตำรวจทั้งที่อยู่ภายในสน. และแฟลตรอบสน. หนีกันจ้าละหวั่น

กระทั่งเช้า เหตุการณ์นี้ถูกตั้งคำถามจากนักข่าว ตำรวจชั้นผู้ใหญ่และศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. ให้ข่าวทิศทางเดียวกันว่า กลุ่มผู้ชุมนุม หรือผู้ก่อการร้ายพยายามสร้างสถานการณ์ให้ตำรวจและทหารเกิดความแตกแยกและระแวงกันเอง

แต่ศอฉ. กับตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็ไม่เคยแถลงต่อนักข่าวว่าระเบิดเอ็ม 79 ถูกยิงมาจากทิศทางใด

ข่าวระเบิดเอ็ม 79 ถล่มสน.ลุมพินี หายไปกับข่าวความรุนแรงในจุดอื่นๆ

2. กรณีบ่อนไก่

ความมืดมนของเหตุการณ์ยิงระเบิดเอ็ม 79 ลึกลับ เริ่มปรากฏรายละเอียดชัดเจนขึ้นมาบ้าง ก็ต่อเมื่อวันที่ทหารตัดสินใจเข้าสลายการชุมนุมเช้ามืด 19 พ.ค.

แต่ละจุดที่ทหารเข้าปฏิบัติการ โดยเฉพาะบนถนนวิทยุตลอดทั้งสาย ห้ามไม่ให้นักข่าวทั้งไทยและต่างประเทศเข้าใกล้

ผมพร้อมกับนักข่าวโทรทัศน์ไทย โทรทัศน์ต่างประเทศกลุ่มหนึ่ง หลบอยู่ในสน.ลุมพินี เก้าโมงกว่าจึงสามารถเข้าไปดูการปฏิบัติของทหารที่บริเวณถนนวิทยุตัดแยกสารสินได้

จุดนี้ เป็นแนวบังเกอร์แรกของการ์ดนปช. ถูกทหารบุกยึดพื้นที่ได้เป็นจุดแรกในบรรดาแนวบังเกอร์ที่ถูกทหารบุกทั้งหมด

เดินสำรวจต่อไปพบว่าทหารจำนวนมากกำลังค้นอาคารเคี่ยนหงวน มุมถนนวิทยุ-สารสิน เมื่อผมและนักข่าวสำนักอื่นๆ ไปถึงพบว่า ทหารได้จับกุมการ์ดนปช. ที่หลบหนีจากบังเกอร์แยกสารสินมาหลบใน อาคารเคี่ยนหงวนได้ 15 คน เป็นผู้ชาย 13 คน ผู้หญิง 2 คน

มีอาวุธที่ทหารยึดได้จากบรรดาการ์ดนปช. หลายรายการ ประกอบด้วย กระสุนปืนลูกซอง 3 นัด พลุ ประทัดยักษ์ และตะไล 63 ลูก ระเบิด ขวด 67 ขวด ระเบิดปิงปอง 8 ลูก มีดดาบ 1 เล่ม มีดปอกผลไม้ 1 เล่ม ถังน้ำมันเชื้อเพลิง วิทยุสื่อสาร หนังสติ๊ก และเหล็กท่อนอีก 2-3 ท่อน 

ทหารพยายามค้นอาคารทั้งอาคาร และสอบเค้นการ์ดนปช. ทั้ง 15 คน เพื่อหาอาวุธปืน แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่พบ พวกการ์ดบอกว่าอาวุธที่ใช้ต่อต้านทหาร มีเท่าที่ทหารจับได้

สุดท้ายทหารเรียกตำรวจมารับตัวการ์ดนปช.ทั้งหมดไป จากนั้นทหารจับการ์ดนปช.จุดนี้ได้อีก 2 คน นี่คือสิ่งที่ผมเห็นได้ตลอด 2-3 ชั่วโมงที่เข้าไปทำข่าวในจุดนั้น

น่าสังเกตว่า จุดแยกถนนสารสิน-วิทยุ เป็นจุดหนึ่งที่กลุ่มการ์ดนปช. วาง แนวป้องกันทหารอย่างเต็มที่ แต่ถูกทหารบุกแตกกระ เจิงอย่างง่ายดายเป็นจุดแรก และอาวุธที่ใช้สู้กับทหาร ก็เป็นอาวุธที่ตรวจพบข้าง ต้น ซึ่งไม่ปรากฏว่ามีปืนสงคราม หรือเอ็ม 79 ในจุดนี้ แม้ทหารจะตรวจ ค้นอย่างละเอียดแล้วก็ตาม 

ภายหลังทหารยึดพื้นที่ได้ทั้งหมด และประกาศเคอร์ฟิวในคืนแรก 19 พ.ค. ต่อมาวันที่ 20 พ.ค. ศอฉ.แถลงพบอาวุธล็อตแรกของนปช. จำนวนมาก

ในจุดอื่นที่ ศอฉ.บอกว่าเจออาวุธของนปช. ผมไม่อาจทราบได้ว่าจริงเท็จแค่ไหน

แต่ในจุดที่ผมได้เห็นกับตาคือที่ถนนวิทยุ-สารสิน และอาคารเคี่ยนหงวนนั้น ก็มีอาวุธและการ์ดนปช.ถูกจับกุมเท่าที่ผมแจกแจงไปแล้ว

แต่ศอฉ. แถลงว่า บนอาคารเคี่ยนหงวนเป็นจุดซุ่มยิงของกองกำลังไม่ทราบฝ่าย และเป็นจุดที่กองกำลังเหล่านี้ระดมยิงระเบิดเอ็ม 79 เข้าใส่สน.ลุมพินี นับสิบลูก เมื่อวันที่ 15 พ.ค.

ผมฟังแล้ว ได้แต่สงสัยว่าเป็นไปได้อย่างไร 


ที่มา วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7122 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOVE13TURVMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB6TUE9PQ==

นายเสกสิทธิ์ ช้างทอง อายุ 28 ปี ร้องถูกทหารยิงตาบอด


น.ส.ยุ้ย (ขอสงวนชื่อจริงและนามสกุลจริง) อายุ 25 ปี แฟนสาวของ นายเสกสิทธิ์ ช้างทอง อายุ 28 ปี อาชีพขับจักร ยานยนต์รับจ้าง ย่านโพธิ์สามต้น เขตบางกอก ใหญ่ กทม. ร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหนังสือพิมพ์"ข่าวสด" โดยระบุว่านายเสกสิทธิ์ถูกเจ้าหน้าที่ทหารใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่บริเวณใต้ตาซ้ายจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงขั้นตาบอด เหตุเกิดบริเวณหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อช่วงเย็น วันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา

น.ส.ยุ้ย เปิดเผยว่า เวลาประมาณ 08.00 น. ของวันที่ 19 พ.ค. ขณะที่ นายเสกสิทธิ์ ขี่รถจักรยานยนต์ไปส่งตนที่ทํางานย่านวงเวียนใหญ่ เสร็จแล้วก็ขี่กลับมาเข้าวินตามปกติบริเวณวินโพธิ์สามต้น เขตบองกอกใหญ่ เมื่อมาถึงวินก็ได้มีลูกค้าเรียกให้ไปส่งที่ย่านหัวลําโพง ช่วงนั้นเวลาประมาณ 09.30 น. หลังส่งลูกค้าแล้วนายเสกสิทธิ์ เห็นว่ามีการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบริเวณหน้าพรรคเพื่อไทย ถนนพระราม 4 จึงเข้าไปดูเหตุการณ์ เมื่อไปถึงพักใหญ่สถาน การณ์บริเวณนั้นก็เริ่มตึงเครียด ทหารใช้กำลังและอาวุธปืนยิงใส่ผู้ชุมนุมบนถนนพระราม 4 และหน้าพรรคเพื่อไทย

ทั้งนี้ ระหว่างที่ทหารยิงปืนใส่ผู้ชุมนุมบริ เวณดังกล่าวปรากฏว่ากระสุนถูกนายเสกสิทธิ์เข้าบริเวณใต้ตาซ้ายจนเลือดอาบ กระทั่งมีคนนําส่งโรงพยาบาลกลาง ตั้งแต่วันที่ 19 พ.ค. แพทย์ ให้กลับบ้านได้ในวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา และขณะนี้แพทย์ยังไม่สามารถผ่าตัดเอาหัวกระสุนออกจากตาซ้ายได้เนื่องจากกระสุนฝังอยู่ในจุดสําคัญบริเวณดั้งจมูกและทับเส้นประสาทอยู่ และตอนนี้แผลก็เริ่มอักเสบและลุกลามไปยังตาขวาแล้ว และเริ่มมองไม่เห็น ปวดหัวตลอดเวลา

น.ส.ยุ้ย กล่าวต่อว่า หลังเหตุการณ์วันนั้นทําให้แฟนหนุ่มชีวิตต้องเปลี่ยนไป และเขาเองก็เป็นเสาหลักของครอบครัว โดยอยู่กินกับตนมานานกว่า 8 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน อายุ 7 ขวบ นอกจากนี้ค่าใช้จ่ายภายในบ้านนายเสกสิทธิ์ จะเป็นผู้จ่ายทั้งหมด อาทิ ค่าผ่อนบ้านเดือนละ 2,200 บาท ค่าน้ำ-ค่าไฟ 500 บาท ค่าเทอมลูกเทอมละประมาณ 2,500-3,000 บาท และพี่ เขาต้องส่งให้พ่อแม่ของเขาและของตนเดือนละประมาณ 1,000 บาท ตอนนี้ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร ส่วนเงินช่วยเหลือของทางรัฐบาลที่บอกให้ไปยื่นที่บ้านราชวิถีก็ยังไม่ได้รับการเยียวยาจนถึงทุกวันนี้

ที่มา วันที่ 08 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7131 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakE0TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T0E9PQ==

พ.อ.อ.พงษ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์


ที่บ้านเลขที่ 171/782 ถ.พหลโยธิน แขวงคลองถนน เขตสายไหม กทม. ซึ่งเป็นบ้านพักของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิต พิทยานนทกาญจน์ ทหารอากาศ สังกัดกรมอากาศโยธิน กองทัพอากาศ ถูกยิงเสียชีวิตย่านสีลม เมื่อคืนวันที่ 17 พ.ค.

นางสุคนธ์ พาสุวรรณ อายุ 44 ปี พี่สาวกล่าวว่าจนถึงขณะนี้ญาติๆ ยังรู้สึกเสียใจที่ต้องสูญเสียน้องชายไปอย่างไม่มีวันกลับ ปกติจะพักอาศัยอยู่ด้วยกันตลอด ส่วนน้องชายก็จะไปทำ งานตามปกติ ส่วนใหญ่ก็จะโทรศัพท์พูดคุยติด ต่อกันอยู่ตลอดเวลา ยิ่งมาช่วงที่มีการชุมนุมที่ย่านศาลาแดงและราชประสงค์ ทราบเพียงแค่ว่าน้องชายไปปฏิบัติราชการเท่านั้น โดยไม่ได้บอกว่าไปราชการอะไร รู้แค่ว่าอยู่สีลมแถวอาคารซีพีเท่านั้น

นางสุคนธ์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อช่วงเช้าวันที่ 17 พ.ค. ญาติๆ ที่อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งติดตามข่าวการชุมนุมในประเทศไทยตลอด ได้ตรวจสอบรายชื่อผู้เสียชีวิตทางอินเตอร์เน็ตแล้วพบว่ามีชื่อน้องชายตนด้วย จึงโทรศัพท์มาสอบถาม ตนจึงรีบติดต่อกับทางหน่วยงานต้นสังกัดของน้องชายและยืนยันว่าเสียชีวิตจากการไปปฏิบัติหน้าที่จริง ทำให้รู้สึกเสียใจมาก แต่ก็ไม่ทราบว่าน้องชายเสียชีวิตจากสาเหตุใด รู้แค่เพียงว่าน้องถูกยิงเสียชีวิตแค่นั้น

เมื่อกล่าวมาถึงช่วงนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่านางสุคนธ์และน้องสาว ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ร้องไห้ออกมาอย่างสะอึกสะอื้นทันที

นางสุคนธ์ กล่าวอีกว่า ที่น่าสงสารมากที่สุดคือ นางชยาภัทร ภรรยาของน้อง ซึ่งขณะนี้ตั้งท้องได้ 4 เดือน ที่ต้องมาสูญเสียคนรักไปและต้องมาเสียพ่อของลูกไปด้วย แต่ก็ต้องขอขอบ คุณทางกองทัพอากาศที่ได้ให้การดูแลครอบครัวทุกอย่าง โดยได้รับภรรยาของน้องบรรจุเข้ารับราชการยศเรืออากาศตรี ในกองทัพอากาศด้วย

- เผยถูกยิงตายที่สีลม-คืน 16 พ.ค.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับการตายของ พ.อ.อ.พงษ์ชลิตนั้น เกิดเมื่อเวลา 01.00 น. วันที่ 17 พ.ค. ที่ผ่านมา ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า มีทหารถูกยิงได้รับบาดเจ็บ 2 นาย และถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน จึงรุดไปตรวจสอบก็พบว่า ทหารที่ถูกยิงได้รับบาดเจ็บนั้นเสียชีวิตแล้ว 1 นาย ทราบชื่อต่อมาคือ พ.อ.อ.พงษ์ ชลิต พิทยานนทกาญจน์ สภาพศพสวมชุดเสื้อยืด สีน้ำตาล นุ่งกางเกงขาสั้น สีน้ำตาล มีบาด แผลถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 1 นัด ส่วนทหารที่ได้รับบาดเจ็บอีกนาย คือ ร.ต.อภิชาติ ซ้งย้ง อายุ 26 ปี ได้รับบาดเจ็บมีบาดแผลที่ใบหน้าเล็กน้อย ทั้งสองนายสังกัดหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน กอง ทัพอากาศ

จากการสอบสวนเบื้องต้นทราบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ทหารทั้งสองนายขับรถกระบะโตโยต้า วีโก้ สีดำ ผ่านหน้าอาคารซีพีทาวเวอร์ มุ่งหน้าเข้าไปในถนนสีลม จากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด และเกิดการยิงต่อสู้กันขึ้นระหว่างผู้ที่อยู่ในรถกับทหารที่คุมพื้นที่อยู่ริมถนน จนรถกระบะเสียหลักพุ่งชนรถของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่จอดอยู่บริเวณข้างทาง หลังเสียงปืนสงบลงทหารได้เข้าไปตรวจสอบรถคันดังกล่าว ก็พบผู้บาดเจ็บทั้งสองรายอยู่ในรถ จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน แต่พ.อ.อ.พงษ์ชลิต ทนพิษบาดแผลไม่ไหวเสียชีวิตในเวลาต่อมา

ที่มา วันที่ 02 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7125 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakF5TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TWc9PQ==

พบแล้วสาวแดงสุดท้าย-เวทีม็อบ

นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

นายเสน่ห์ นิลเหลือง คนขับแท็กซี่ซึ่งถูกยิงเสียชีวิตที่บริเวณสวนลุมไนท์ บาซาร์ เมื่อวันที่ 14 พ.ค.

เมื่อวันที่ 31 พ.ค. ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจากนายนพดล นิลเหลือง น้องชายของนายเสน่ห์ ว่า ในวันเกิดเหตุตนและพี่ชายกำลังจะนำรถแท็กซี่ไปเปลี่ยนกันที่บ้านพี่สาว บริเวณแฟลตตำรวจสน.ลุมพินี ในเวลาประมาณ 17.00 น. ตนโทรศัพท์คุยกับพี่ชายที่กำลังเดินทางมาบ้านพี่สาว พี่ชายบอกว่า ถนนถูกปิดหมด พี่ชายจึงลงรถที่คลองเตยแล้วเดินมา แต่เมื่อมาถึงแยกบ่อนไก่มีทหารกั้นไม่ให้เข้า พี่ชายจึงเดินเลาะมาทางสวนลุมไนท์ บาซาร์ ขณะที่ตนกำลังขับจักรยานยนต์จะไปรับพี่ชาย มีคนโทร.มาบอกว่าพี่ชายโดนยิงที่หน้าอก นัดเดียวตัดขั้วหัวใจทะลุหลัง ตอนที่ทราบข่าวก็ไม่คิดว่าพี่ชายจะถึงขั้นเสียชีวิต อาวุธที่ใช้คล้ายกับอาวุธสงคราม ไม่น่าจะใช่ปืนลูกซอง ตอนนั้นทหารอยู่บริเวณสนามมวย ส่วนพี่ชายผมอยู่ด้านหลังของแนวร่วมกลุ่มฮาร์ดคอร์ พี่ชายผมยังไม่ทันเดินผ่านแนวฮาร์ดคอร์ ก็โดนยิงเสียก่อน ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าใครเป็นฝ่ายยิง แต่เมื่อวันที่ 29 พ.ค. ก็ไปดูจุดที่เกิดเหตุการณ์ เห็นรอยกระสุนที่สะพานลอย ราวเหล็ก มาจากแนวทหารทั้งนั้น

"ผมเลยคิดว่าเป็นคนอื่นไปไม่ได้ เพราะถ้าเป็นคนอื่น อยู่ในแนวทหาร ทำไมทหารไม่จัดการ แล้วพี่ชายผมไม่มีอาวุธ ทำไมคุณถึงต้องยิงคนที่ไม่มีอาวุธอยู่ในมือด้วย" นายนพดลกล่าว

นายนพดล กล่าวต่อว่า ปกตินิสัยของพี่ชายเป็นคนมีน้ำใจ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นเสมอ และที่ผ่านมาพี่ชายไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง เพียงแต่วันนั้นไปอยู่ในบริเวณดังกล่าวพอดี พี่ชายอยู่กับแฟนและลูกติด อีก 4 คน อยู่กินกันมาหลายปี แต่ยังไม่ได้แต่งงานกัน ภาระจะอยู่ที่การส่งเสียค่าเล่าเรียนลูกเลี้ยงคนเล็ก และครอบครัวของพี่ชายหลังจากการเสียของพี่ชายเองน่าจะมีปัญหา เนื่องจากรายได้ของแฟนพี่ชายมีเพียงไม่กี่พันบาทจากอาชีพแม่บ้านชั่วคราว ที่มีงานก็ได้เงิน แต่ถ้าไม่มีงานก็ไม่มีรายได้อะไรเลย แต่โชคดีอยู่บ้างตรงที่พี่ชายเป็นคนสมถะ จึงไม่ได้ทิ้งหนี้สินอะไรไว้ให้กับครอบครัวหรือญาติพี่น้อง

นายนพดล กล่าวต่อว่า ส่วนผลกระทบทางจิตใจของคนในครอบครัว และญาติพี่น้อง ตนทำใจได้บ้างแล้ว แต่พี่สาวคนโตและน้องสาวคนเล็ก จนถึงตอนนี้ยังทำใจไม่ได้ พอเวลาเข้านอนครั้งใด ร้องไห้ตลอดเวลา เนื่องจากมีความผูกพันกันมาก ถึงตอนนี้การช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่มีติดต่อเข้ามา ไม่มีโทรศัพท์ติดต่อ หรืออะไรทั้งสิ้น มีเพียงตนที่ติดต่อเรื่องเข้าไปเอง แต่ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับความช่วยเหลือมากน้อยเพียงใด แต่ส่วนอื่นมีช่วยเหลือมาแล้ว คือสำนักพระราช วัง และพรรคเพื่อไทย

"แต่ที่ยังค้างคาใจมาจนถึงวันนี้ คือวันที่เกิดเหตุนั้น สน.ทุ่งมหาเมฆ เป็นพื้นที่เสี่ยงไม่สามารถเข้าไปแจ้งความได้ หลังจากวันนั้นจึงเข้าไปแจ้งความอีกครั้ง ตำรวจกลับบอกว่ามีคนแจ้งแล้ว แต่ไม่ทราบว่าใคร ไม่ใช่ญาติพี่น้อง และไม่มีหลักฐานใดๆ ขอดูหลักฐานการแจ้งความก็ไม่ให้ดู ร้อยเวรประจำวันก็หลบหน้า แค่อยากรู้ว่าคนที่แจ้งความเป็นใคร เพราะรับไม่ได้ที่แจ้งว่าพี่ชายเป็นพวกฮาร์ดคอร์ เป็นพวกเสื้อแดงหัวรุนแรง ทั้งที่ความจริงมันไม่ใช่ ตรงนี้ยอมรับไม่ได้ สิ่งที่เรียกร้องอย่างเดียว ไม่ใช่เงินทอง แต่อย่ามาพูดว่าที่พี่ชายเสียชีวิต เพราะเป็นพวกก่อการร้าย มันไม่ใช่ความจริง รัฐบาลต้องยอมรับความจริง ว่าทำผิดพลาดลงไป ต้องแสดงความรับผิดชอบในสิ่งที่ทำลงไป" นายนพดลกล่าว

ที่มา วันที่ 01 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7124 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNekF4TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TVE9PQ==

Thursday, June 10, 2010

นายสุรพงษ์ สมพงษ์ หรือน้องกันต์ อายุ 18 ปี เด็กออทิสติก ร้องทหารซ้อม

 วัน 4 มิย นางสํารวย สมพงษ์ อายุ 51 ปี ชาวชุมชนดินแดง ร้องเรียนหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" ว่า นายสุรพงษ์ สมพงษ์ หรือน้องกันต์ อายุ 18 ปี หลานชายซึ่งป่วยเป็นโรคออทิสติก ถูกทหารจับกุมไปพร้อมกับพี่เขยขณะนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ไปซื้อบุหรี่บริเวณวัดตะพาน ใต้ทางด่วนดินแดง โดยทหารอ้างว่าน้องกันต์หน้าเหมือนคนที่เผายางรถยนต์ใต้ทางด่วนดินแดง

นางสํารวย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 21 พ.ค. น้องกันต์ถูกทหารจับกุมตัวมัดมือไขว้หลัง ผ้าปิดตา ทั้ง 2 คน ขณะนั้นพี่เขยของน้องกันต์ยังพอเห็นเหตุการณ์ช่วงที่ยังไม่ถูกปิดตา โดยเล่าว่าทหารที่จับกุมได้พาเดินไปหาทหารอีกกลุ่มไม่ทราบสังกัด แต่งกายทหารเต็มยศ ถือปืนทุกคน เมื่อไปถึงทหารพยายามสอบถามน้องกันต์ว่าเป็นคนเผายางรถยนต์ใต้ทางด่วนดินแดงหรือไม่ แต่น้องกันต์พูดไม่ได้เพราะเป็นออทิสติก ซึ่งพี่เขยก็พยายามอธิบายแต่ทหารไม่ฟัง เมื่อเห็นน้องกันต์เงียบก็ใช้รองเท้าคอมแบ๊ตเตะกลางหลังอย่างแรงจนล้มกลิ้ง จากนั้นก็พยายามเค้นเอาข้อมูลจากน้องกันต์เพื่อให้รับสารภาพ ถึงขั้นใช้ด้ามปืนตีซ้ำที่หน้าผากจนเลือดอาบ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าไม่ได้ความอะไรก็ปล่อยตัวออกมา

นางสํารวย กล่าวต่อว่า ตนและญาติออก ตามหาน้องกันต์และพี่เขยนานกว่า 3 ช.ม. กระทั่งทั้งคู่ขับขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันกลับมาบ้าน ในสภาพน้องกันต์เลือดอาบหน้า มีบาดแผลตามข้อมือจากการถูกมัด จึงรีบนํา ส่งร.พ.ราชวิถี แพทย์เย็บหน้าผาก 3 เข็ม และเอกซเรย์ร่างกาย เช่นเดียวกับพี่เขยด้วย หลังทําแผลร.พ.คิดค่ายาและค่ารักษา 1,900 บาท แต่ตนไม่มีเงิน ทางร.พ.จึงไม่ยอมจ่ายยาให้ พวกตนเลยพากันกลับบ้านหาซื้อยาให้น้องกันต์กินเองจนถึงทุกวันนี้ แผลที่เย็บไว้ก็ตัดไหมกันเองเพราะไม่มีเงินไปหาหมอ จึงอยากร้องเรียนไปยังรัฐบาลช่วยดูแลผู้บาดเจ็บด้วย เพราะได้รับผลกระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ ทุกวันนี้น้องกันต์มีอาการหวาดผวาอย่างหนักเพราะเป็นเด็กไม่ปกติอยู่แล้ว

ที่มา วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7128 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOakExTURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3TlE9PQ==

นายสมยศ มูลทอง อายุ 41 ปี ถูกทหารยิงขาซ้ายเจ็บสาหัส

เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. นายสมยศ มูลทอง อายุ 41 ปี อาชีพขับรถแท็กซี่ พร้อมด้วยน.ส. เบญจมาศ มูลทอง อายุ 30 ปี ภรรยา และน้องภูมิ ลูกชายวัย 2 ขวบ ร้องเรียนหนังสือพิมพ์ "ข่าวสด" กรณีถูกทหารยิงขาซ้ายเจ็บสาหัส ในระหว่างการชุมนุมกลุ่มคนเสื้อแดง ทําให้ไม่สามารถออกขับรถแท็กซี่หาเลี้ยงครอบครัวได้อีก

นายสมยศ เปิดเผยว่า เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 15.00 น. วันที่ 14 พ.ค. หลังจากขับรถแท็กซี่ไปส่งคืนอู่ภายในปั๊มน้ำมันปตท. ตรงข้ามซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 ย่านคลองเตย เสร็จแล้ว ได้เดินออกมาดูเหตุการณ์ที่หน้าปั๊มน้ำมัน และปากซอยงามดูพลี ขณะเดินอยู่นั้นเห็นกลุ่มทหารนั่งอยู่ริมทางเท้าบริเวณแยกบ่อนไก่ ห่างจากตนประมาณ 500 เมตร ตนจึงหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาถ่ายรูปกลุ่มทหารเก็บไว้ ไม่นานทหารกลุ่มดังกล่าวได้ลงมาตั้งแถวกลางถนนบริเวณสี่แยก จากนั้นระดมยิงมายังกลุ่มของตนที่ยืนถ่ายรูปอยู่หลายคน จนล้มลงต่อหน้าต่อหน้าหลายคน ที่เหลือต่างพากันวิ่งหนีตายกันอย่างไม่คิดชีวิต หลังเสียงปืนเงียบลงก็รู้สึกว่าตนเองถูกยิงเข้าขาซ้ายเลือดไหลอาบ กระทั่งมีคนช่วยนําส่งร.พ.

นายสมยศ กล่าวต่อว่า เมื่อไปถึงร.พ.แพทย์ได้ผ่าตัดเอาหัวกระสุนออก โดยบอกว่ากระสุนฝังในกระดูกขาทําให้กระดูกแตก และต้องใส่เฝือกมาจนถึงทุกวันนี้ ตั้งแต่วันนั้นไม่สามารถออกไปหากินได้อีก และไม่รู้ว่าจะขับรถแท็กซี่ได้อีกหรือไม่ เพราะต้องรอดูอาการอีกหลายเดือน ทําให้ครอบครัวเดือดร้อนอย่างมาก เพราะตนเป็นเสาหลักของครอบครัวออกขับรถแท็กซี่ทุกวัน รายได้เฉลี่ยวันละประมาณ 500 บาท แต่ตอนนี้ไม่มีเงินเลี้ยงดูครอบครัวเลย

นายสมยศ กล่าวด้วยว่า ตอนนี้มีปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยเข้ามาอีก เพราะค้างค่าเช่าบ้านที่เช่าอยู่ในชุมชนบ่อนไก่ เจ้าของกำลังขับไล่ให้ย้ายออก นอกจากมีลูกชายอายุ 2 ขวบแล้วภรรยาก็กำลังตั้งท้อง 8 เดือน ใกล้คลอดในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งยังไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปเพราะไม่มีเงินเลย หลังเกิดเหตุไปร้องเรียนหน่วยงานต่างๆ หลายแห่งแต่ยังไม่มีใครช่วยเหลือ ตนจึงอยากร้องเรียนผ่านไปยังรัฐบาลและศอฉ.รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนด้วย เพราะที่ผ่านมารัฐบาลเน้นดูแลแต่ภาคธุรกิจ ขณะที่ยังมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากกำลังรอรับความช่วยเหลือเยียวยาอยู่


ที่มา วันที่ 05 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7128 ข่าวสดรายวัน

หายไปดื้อๆ ลูกปืนที่ศพน้องเกด




ทีมกู้ชีพที่ออกมาทวงยุติธรรมให้เพื่อน 4 ศพถูกยิงตาย ตั้งข้อสงสัยหัวกระสุนที่ศพ "น้องเกด" หายไปไหน เพราะมีหลักฐานตอนชันสูตรศพในวัดปทุมฯ เจอหัวกระสุนโผล่ที่หน้าท้องศพ เป็นหลักฐานสำคัญที่สามารถโยงถึงคนลั่นไกได้ แต่ศอฉ.กลับไม่มีแถลงผลการตรวจพิสูจน์เลย เผยหลังออกมาร้องเรียนมีคนให้กำลังใจเยอะ เพราะรับไม่ได้ที่ทีมกู้ชีพกลับกลายเป็นเหยื่อปืนเสียเอง แม่น้องเกดทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาวที่จุดโดนยิงตายในวัดปทุมฯ เจอแล้ว 1 ใน 4 ศพไร้ญาติฝังสุสานศรีราชา เป็นด.ช.วัย 15 ปี คนรู้จักระบุเป็นเด็กเร่ร่อนย่านมักกะสัน บอกจะไปหาข้าวกินในม็อบ แต่กลับโดนยิงตาย

ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. นายวสันต์ สายรัศมี กล่าวว่า หลังจากที่ออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมให้กับ 4 ศพหน่วยกู้ชีพและอาสาพยาบาล มีคนติดต่อให้กำลังใจจำนวนมาก เพราะเห็นว่าหน่วยกู้ชีพไม่ควรต้องมาโดนยิงเสียชีวิตแบบนี้ นอกจากนี้ พวกตนยังตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการชันสูตรน.ส.กมนเกด หรือเกด เพราะในวันรุ่งขึ้นคือเช้าวันที่ 20 พ.ค. มีพ.ญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.สถาบันนิติ วิทยาศาสตร์ พร้อมทีมงานชันสูตรพลิกศพ น.ส.กมนเกด หรือเกด ในเบื้องต้นนั้น ตนยืนถ่ายวิดีโอตลอดเวลา ซึ่งสังเกตเห็นว่ามีหัวกระสุนฝังอยู่ที่หน้าท้องของเกด 1 นัด เห็นหัวกระสุนชัดเจนแล้วยังถ่ายวิดีโอไว้เป็นหลักฐาน นอกจากนี้ ยังเห็นรอยกระสุนตุงอยู่ที่ใต้รักแร้ข้างขวา ตอนนั้นหมอพรทิพย์ยังบอกว่าให้เอาปลาสเตอร์มาปิดหัวกระสุนไว้ เพราะเป็นหลักฐานสำคัญทางคดี แต่หลังจากนั้นมีการแถลงข่าวการชันสูตรศพกลับไม่มีการพูดถึงหัวกระสุนดังกล่าวเลย

ส่งบุญ - นางพะเยาว์ อัคฮาด แม่"น้องเกด" ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกสาว โดยไปยืนไว้อาลัยบริเวณจุดที่ลูกสาวถูกยิงตายในวัดปทุมฯด้วย เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.
พวกผมมีข้อสงสัยมาก ตอนที่ร่วมกันชันสูตรศพเกดในวัดก็เห็นอยู่ว่ามีหัวกระสุนชัดเจน แต่ทำไมถึงไม่มีการตรวจพิสูจน์หัวกระสุนเลย ทั้งที่หัวกระสุนถือว่าเป็นหลักฐานสำคัญที่จะสามารถสืบสาวไปถึงคนที่ยิงได้ และการเสียชีวิตทั้งประชาชนและกู้ชีพ 6 ศพในวัดปทุมฯ ถามว่ากระสุนมาจากไหน สิ่งที่ผมเห็นก็คือวิถีมาจากที่สูงบริเวณหน้าวัดแน่นอน และยิงลงมาใส่หน่วยกู้ชีพ ซึ่งแปลกใจมากว่าทำไมต้องยิงอาสากู้ชีพด้วย ทั้งที่พวกเรามีหน้าที่ช่วยเหลือชีวิตผู้บาดเจ็บ ไม่มีปืนในมือไปสู้รบกับใคร"

นายวสันต์ กล่าวว่า ตอนที่เกิดเหตุ หน่วยแพทย์ที่อยู่ในวัดตอนนั้น ติดสัญลักษณ์ชัดเจน ใส่เสื้อกาชาดทุกคน แต่ก็ยังโดนยิง ของตนใส่เสื้อสีขาว มีตรากาชาดทั้งหน้าและหลังก็ยังโดนไล่ยิง ทุกคนจะมีบัตรคล้องคอ มีปลอกแขนที่เราติดไว้เป็นปกติ แต่กลับไม่ได้ช่วยประโยชน์อะไรเลย กลับกลายเป็นเป้าปืน กราดยิงเข้ามาในเต็นท์พยาบาลจนมีคนตาย ทั้งที่ในเต็นท์มีแต่ยา เครื่องมือช่วยชีวิต ไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว

ที่มา วันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7133 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNekV3TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB4TUE9PQ==

กู้ชีพร้อง4ศพเซ่นสลายม็อบแดง

เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. ที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ข่าวสด มีกลุ่มเจ้าหน้าที่กู้ภัย เข้าร้องเรียนเพื่อขอความเป็นธรรมให้กับกลุ่มอาสาพยาบาลและเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามในเหตุการณ์สลายการชุมนุมคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา นำโดยนายโทนทอง สุขแก่น อายุ 29 ปี ประธานศูนย์มูลนิธิสยามรวมใจ (ปู่อินทร์) ประจําสาขาจังหวัดนนทบุรี โดยนายโทนทองกล่าวว่า เหตุการณ์ที่รัฐบาลประกาศกระชับพื้นที่รอบๆ เวทีราชประสงค์นั้น ทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพและอาสาพยาบาลต้องเสียชีวิต 4 ราย มีนายอัครเดช หรือปลั๊ก ขันแก้ว อายุ 22 ปี อาสาพยาบาลของร่วมด้วยช่วยกัน น.ส.กมนเกด หรือเกด อัดฮาด อายุ 25 ปี อาสาพยาบาลของร่วมด้วยช่วยกัน นายมงคล เข็มทอง เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง และนายมานะ หรือเบิร์ด แสงประเสริฐ เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเลยกับเจ้าหน้าที่กู้ชีพที่มีหน้าที่เข้าช่วยเหลือและปฐมพยาบาลผู้บาดเจ็บไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรัฐบาลหรือผู้ชุมนุน

โดยนายโทนทองกล่าวถึงเหตุการณ์วันสลายม็อบว่า ก่อนเกิดเหตุเวลาประมาณ 15.00 น.วันที่ 18 พ.ค. ตนในฐานะประธานศูนย์ฯ ได้รับการประสานจากศูนย์สยามรวมใจ เขตธนบุรี ให้ช่วยส่งทีมกู้ชีพสยามรวมใจมาช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจากการถูกยิงบริเวณพื้นที่ราชประสงค์ด่วน ตนพร้อมทีมงานจึงรีบเดินทางไปรวม 9 คน รถกู้ชีพ 2 คัน เป็นกระบะ 1 คัน และรถตู้อีก 1 คัน เมื่อไปถึงก็รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลใกล้เคียงทันที จากนั้นทีมกู้ชีพของตนได้สแตนด์บายตลอดคืน และคืนวันที่ 18 พ.ค.ก็ไม่เกิดเหตุอีก

นายโทนทองกล่าวต่อว่า ต่อมาเช้าวันที่ 19 พ.ค.ก็ได้รับแจ้งว่ามีผู้ชุมนุมถูกยิงอีก 1 รายที่แยกสารสิน เมื่อไปถึงพบผู้บาดเจ็บนอนร้องขอความช่วยเหลืออยู่กลางถนน จึงนำส่งร.พ. ตำรวจ ตั้งแต่นั้นก็เริ่มมีการยิงหนักขึ้นเรื่อยๆ และมีคนเจ็บมากขึ้นบริเวณดังกล่าว รวมยิงกันประมาณ 3 รอบ และรอบที่ 3 นี้ขณะที่ทีมงานของตนกำลังลงไปช่วยคนเจ็บถูกยิงต้นคอขึ้นรถปรากฏว่ามีเสียงดังปัง คล้ายกระสุนปืนดังบริเวณท้ายรถ จากนั้นไม่นานก็ได้ยินเสียงระเบิดลงห่างจากรถกู้ภัยประมาณ 2 เมตรตามมาทันที ทราบภายหลังว่าเป็นระเบิดเอ็ม 79 ทำให้รถกู้ภัยได้รับความเสียหายถูกสะเก็ดระเบิดเป็นรูโหว่บริเวณข้างรถฝั่งขวาหลายแห่ง

นายโทนทองกล่าวว่า ขณะนั้นตนเห็นว่าไม่ปลอดภัย จึงได้สั่งให้คนขับรีบขับรถออกจากจุดดังกล่าวทันที ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้นำผู้บาดเจ็บที่ถูกยิงคอขึ้นรถ จึงมาคิดอีกครั้งว่าเราต้องช่วยผู้บาดเจ็บรายนี้ส่งโรงพยาบาลให้ได้ จึงตัดสินใจถอยรถไปรับคนที่ถูกยิงต้นคอออกมาส่งร.พ.ตำรวจได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็กลับมารับคนเจ็บบริเวณนั้นอีกกว่า 20 รายในช่วงเช้าวันนั้น

"ต่อมาประมาณ 11 โมงเช้า ผมได้สั่งให้ทีมกู้ชีพทุกจุดที่อยู่บริเวณราชประสงค์ ไปรวมตัวที่วัดปทุมวนาราม ขณะนั้นทราบว่าทหารบีบกระชับพื้นที่เข้ามาในพื้นที่ราชประสงค์แล้ว และช่วงที่อยู่ในวัดปทุมฯก็ได้หารือทีมงานว่าจะเอาอย่างไรจะออกจากวัดหรืออยู่ในวัด จึงแยกทีมงานออกเพราะต้องออกไปดูแลผู้บาดเจ็บข้างนอกด้วย พอถึงช่วงแกนนำนปช.ประกาศสลายการชุมนุมให้ทุกคนกลับบ้าน ช่วงนั้นสถานการณ์เริ่มตึงเครียด มีเสียงระเบิด และปืนดังขึ้นหลายจุดบริเวณราชประสงค์ ผมจึงใช้วิทยุบอกทีมงานที่อยู่ข้างนอกใกล้เวทีปราศรัยให้รับผู้ชุมนุมหลบเข้ามาในวัดด้วย จึงรับมาได้กว่า 20 คนอัดมาในรถตู้กู้ภัย โดยในวัดปทุมฯมีผู้ชุมนุมนับพันคน ทั้งเด็กและผู้หญิง จากนั้นก็ให้ทีมงานหลบอยู่ในที่ปลอดภัยก่อนอย่าเพิ่งออกไปข้างนอก ซึ่งในวันนั้นเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงมาก ขนาดกู้ภัยที่ช่วยคนเจ็บยังไม่มีเวลานำคนเจ็บใส่เปล ต้องใช้วิธีอุ้มเข้าโรงพยาบาลแทน ต่อมาทีมงานก็ไปรวมตัวอยู่ที่เต็นท์พยาบาลภายในวัดปทุมฯ พร้อมเดินแจกแอมโมเนียให้ผู้ชุมนุมอยู่ในวัด ระหว่างนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นข้างนอกวัดตลอดเวลา" นายโทนทองกล่าว

นายโทนทอง กล่าวต่อว่า ตอนบ่าย 3 โมงเศษ ขณะนั้นตนและทีมงานเข้าไปหลบอยู่ตรงกุฏิพระ ฝั่งสยามพารากอน ได้ยินเสียงปืนไม่หยุด ตอนนั้นมองเห็นกลุ่มคนแต่งกายแบบคล้ายทหาร ใส่หมวกลายพรางอยู่บนรางบีทีเอส หน้าวัดปทุมวนารามหลายคน ทั้งนี้ ช่วงที่อยู่ในวัดก็ได้ติดตามข่าวสารจากทีวีและวิทยุที่วัดนำมาเปิดให้ดู และมีบางคนวิ่งหนีไปทางชุมชนหลังวัดก็ปรากฏถูกกลุ่มคนไล่ตีหัวแตกกลับมา 

"ตอนนั้นมีประชาชนหลบกระสุนอยู่รอบอุโบสถของวัดเป็นจำนวนมาก และต่างกลัวว่าจะมีการยิงมาจากที่สูงด้วยชุดสไนเปอร์ด้วย จนกระทั่งเวลา 17.30 น.เป็นต้นมา ที่ข้างนอกวัดก็เริ่มยิงกันหนักขึ้น ผมจึงบอกให้ผู้ชุมนุมหลบเข้าไปอยู่ที่สวนป่าภายในวัดเพราะจะปลอดภัยกว่า ระหว่างนั้นได้ยินเสียงปืนชุดใหญ่ยิงดังอยู่ตรงบริเวณนอกรั้วหน้าวัด และมาทราบข่าวว่ามีอาสาพยาบาลที่อยู่บริเวณเต็นท์หน้าวัดถูกยิงบาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย จึงออกมาช่วย โดยอาสาพยาบาลที่ถูกยิง มีอยู่ 1 ราย ซึ่งน่าสงสารมากชื่อนายอัครเดช ขันแก้ว หรือปลั๊ก อายุ 22 ปี ถูกยิงบริเวณไหล่และปาก ดิ้นทุรนทุรายอยู่ในเต็นท์ พร้อมกับคนอื่นๆ ขณะช่วยชีวิตปลั๊ก ผมต้องนำเชือกมามัดมือไว้เพราะเขาดิ้นมาก พยายามช่วยเหลือชีวิตนานกว่า 30 นาที แต่เขาก็เสียชีวิตลงต่อหน้าต่อตา"

นายโทนทองกล่าวว่า จนกระทั่งหลังเที่ยงคืนวันที่ 19 พ.ค. ตนได้สั่งทีมงานทุกคนถอดเครื่องแบบกู้ภัยออก เพราะไม่รู้เป้าหมายต้องการยิงใครเพื่อเดินปะปนกับผู้ชุมนุมภายในวัด และคนในวัดขณะนั้นมีมากกว่า 3 พันคนแล้ว และช่วงเวลานี้สถานการณ์ก็เริ่มเงียบไม่มีการยิงกันอีก ตนก็เลยนอนพักผ่อน โดยเวลานอนต้องเอาหัวมุดเข้าไปในโพรงต้นไม้ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกสไนเปอร์ยิง นอนไม่ค่อยหลับ เพราะจะมีเสียงปืนดังเป็นระยะๆ จนถึงเวลาประมาณ 05.00 น.ของวันที่ 20 พ.ค.ก็มีการยิงอีกชุดใหญ่ ไม่ทราบทิศทาง จนถึงเช้ามีตำรวจเข้ามาช่วยนำผู้ชุมนุมออกจากวัดอย่างปลอดภัย

ระดมยิงหนักช่วง6โมง-2ทุ่มที่วัดปทุม


ด้านนายวสันต์ สายรัศมี หรือเก่ง เจ้าหน้าที่ศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน เปิดเผยว่า เช้าวันที่ 19 พ.ค.ตนทำงานอยู่ที่บริเวณสี่แยกศาลาแดง ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บตั้งแต่ 6 โมงเช้า จนถึงประมาณ 3 โมงเย็น ได้มีการประกาศบอกประชาชนว่าจะมีการสลายการชุมนุม ให้รีบกลับบ้าน เหตุการณ์จากนั้นมีเสียงระเบิดดังขึ้นจากบริเวณเวทีราชประสงค์ ประชาชนทุกคนได้วิ่งหลบหนีไปทางร.พ.ตำรวจ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้กระทั่งในวัดปทุมฯ หลังจากที่เราเสร็จภารกิจจากศาลาแดงเมื่อตอนช่วงบ่าย เราก็เข้าไปพักกินอาหารกันอยู่พักใหญ่ รอเวลาจนข่าวออกว่าจะสลายการชุมนุม ก็วิ่งเข้าไปอยู่ในวัด ตอนนั้นภายในวัดมีคนอยู่ประมาณ 3 พันกว่า มีทั้งผู้ชุมนุม สื่อมวลชนทั้งในและต่างประเทศ และประชาชนทั่วไปที่ติดอยู่ในนั้น ส่วนเจ้าหน้าที่ทหารนั้นตนได้สังเกตเห็นอยู่บนรางรถไฟฟ้าบีทีเอส ตั้งแต่ช่วง 6 โมงเย็น ส่วนทหารที่อยู่ข้างล่างเห็นตั้งแต่ตอนประมาณ 10-11 โมงเช้า มีทหารอยู่ตั้งแต่แยกศาลาแดงจนถึงเวทีราชประสงค์

นายวสันต์กล่าวต่อว่า ส่วนทหารบนรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้นเท่าที่มองเห็นอยู่เยอะมากนับสิบนาย มีอาวุธพร้อม ตนยืนมองดูอยู่โดยที่ทหารไม่เห็นหรอกว่าเราอยู่ตรงไหน เริ่มมีการยิงเข้าไปในวัดตั้งแต่ 6 โมงเย็นและยิงไปตลอดทั้งคืน ไม่ว่าใครก็แล้วแต่ที่วิ่งออกไปบริเวณวัดชั้นนอกใกล้กับประตูทางออกวัด จะโดนยิงใส่ตลอด จะยิงกันหนักมากช่วง 6 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม

"คนแรกที่ผมเห็นว่าโดนยิง คือลุงกิตติชัย แข็งขัน โดนยิงที่กลางหลัง รายนี้ยังมีชีวิตอยู่ พอโดนยิงแล้วเขาก็วิ่งเข้ามาหาที่เต็นท์พยาบาล แพทย์อาสาก็ทำแผลให้ ลุงกิตติชัยยกมือไหว้ว่ายินยอมแล้ว ก็ยังโดนยิงซ้ำอีกที่มือขวา 1 นัด วิธีกระสุนมาจากแนวสูง เพราะลุงเขายกมือขึ้นแล้วพูดว่าผมยอมแล้ว และแนวราบตอนนั้นไม่มีทหาร มันเป็นช่วงที่ยังสว่าง ช่วงโพล้เพล้ เราสามารถที่จะมองเห็นคนที่เดินไปมาตรงนั้นได้ ขณะนั้นมีหน่วยกู้ภัยอยู่ในวัดประมาณ 10 กว่าคนทั้งจากศูนย์วิทยุร่วมด้วยช่วยกัน และมูลนิธิสยามรวมใจ ตอนที่นายอัฐชัย ชุ่มจันทร์ โดนยิงเข้าที่หน้าอกข้างซ้ายตัดขั้วหัวใจ นายมงคล เข็มทอง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ป่อเต็กตึ๊งวิ่งเข้าไปช่วยลากนายอัฐชัยออกมา ปรากฏว่านายมงคลโดนยิงเข้าที่อกข้างซ้ายเสียชีวิต" นายวสันต์ กล่าว

นายวสันต์ กล่าวว่า ส่วนน.ส.กมนเกด หรือน้องเกด นอนหมอบหลบกระสุนอยู่ในเต็นท์พยาบาล ซึ่งอยู่ติดกับประตูทางออกของวัดปทุมฯ และพยายามช่วยเหลือผู้บาดเจ็บถูกยิงรายหนึ่ง ก่อนตัวเองจะโดนกระสุนยิงจนพรุนทั้งร่าง นอนดิ้นทุรนทุรายอยู่ จนนายอัครเดช หรือปลั๊ก วิ่งเข้าไปหาเกด แต่ก็โดนยิงเข้าที่ไหล่ขวา กระพุ้งแก้ม และที่ก้นกบอีก 2 นัด ล้มนอกชักอยู่ที่เต็นท์พยาบาลอยู่อีกเป็นเวลานาน เราจึงจะเอาเขาเข้ามาบริเวณวัดชั้นในได้ ยื้อชีวิตเขาจนเขาทนไม่ไหว เสียชีวิต พอหันไปดูเกดก็พบว่าเสียชีวิตแล้วเช่นกัน" นายวสันต์กล่าว

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ในวันนั้นมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 6 ราย บาดเจ็บ 5 ราย เป็นนักข่าวต่างชาติ 1 ราย ผู้เสียชีวิต เป็นเจ้าหน้าที่กู้ภัยจำนวน 4 ราย คือ น.ส.กมลเกด นายมงคล นายอัครเดช ขันแก้ว และนายมานะ หรือเบิร์ด แสงประเสริฐ เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งรายนี้ถูกยิงเสียชีวิตที่ซอยงามดูพลี ขณะกำลังช่วยเหลือผู้บาดเจ็บเช่นกัน สำหรับน้องเกดเป็นผู้ช่วยแพทย์ผ่าตัดอยู่ที่ร.พ.แห่งหนึ่ง มาแจกจ่ายยา ทำแผลให้ผู้ชุมนุมอยู่ที่เวทีราชประสงค์ ส่วนตนมีหน้าที่ประสานรถพยาบาลจากข้างนอกมารักษาผู้ป่วยภายในราชประสงค์ไปส่งโรงพยาบาล เป็นอาสาฯที่เข้าไปในที่เกิดเหตุ โดยที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการชุมนุมของนปช.เลย

นายวสันต์กล่าวต่อว่า เหตุการณ์ตอนนั้นชุลมุนมาก เพราะทุกคนต้องเอาตัวรอด ในสิ่งที่ผมช่วยคนเจ็บได้ ผมก็จะเอาคนเจ็บเข้ามาก่อน ส่วนผู้ที่เสียชีวิตแล้ว เราก็ต้องทิ้งไปก่อน ต้องเอาคนเจ็บมาปฐมพยาบาลเบื้องต้น เพื่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานอื่นต่อไป การช่วยเหลือเราไม่มีการเลือก หรือเจาะจงว่าจะช่วย ไม่ช่วยใคร เราช่วยทุกคน เราเป็นอาสาสมัครที่ไม่มีผลตอบแทน เรารับใช้สังคมด้วยความซื่อสัตย์สุจริตมาตลอด

นายวสันต์กล่าวอีกว่า จะให้เรียงลำดับว่าคนเสียชีวิตก่อนหลังคงไม่ได้ เหตุการณ์ในตอนนั้นแทบไม่มีใครเรียงลำดับได้เลยว่าใครเสียชีวิตก่อน ใครเสียชีวิตหลัง เพราะวิถีกระสุนมาทุกแนวทางจากข้างบน ที่แถลงข่าวว่ามีมาจากแนวราบ แนวราบมีจริงแต่มาโดยที่ทุกคนเห็นว่ามาจากพื้น คือเดินเลาะกำแพงเข้ามาในวัดแล้วกราดยิง พวกเราเห็นชัดว่าใครยิง ประชาชนทุกคนในวัดก็เห็น ด้านหลังวัดก็มีการยิงใส่ประชาชน คนที่ตายทุกคนตายในเขตอภัยทาน หลังจากคืนนั้นเราได้ลำเลียงศพทั้งหมดเข้าไปในเขตวัดชั้นใน ผู้บาดเจ็บอีกส่วนหนึ่งเราก็ยังปฐมพยาบาลเบื้องต้น คือห้ามเลือด ให้กินยาแก้ปวด แล้วเราก็ได้ประสานกับรถพยาบาลข้างนอกให้เข้ามารับคนเจ็บสาหัส ซึ่งตอนนั้นเรามีอยู่ 5 คน มีนักข่าวต่างชาติ คือนายแอนดรู ที่โดนยิงที่ต้นขาขวา พวกตนไม่กล้าลำเลียงออกไปที่หน้าวัด ต้องรอให้รถพยาบาลเข้ามาถึงข้างใน เพราะกลัวโดนยิงซ้ำอีก

"การยิงมีตั้งแต่ 6 โมงถึงสองทุ่มกว่า หลังจากนั้นก็มียิงกัน มีคนตายเรื่อยๆ คือใครออกไปก็โดนยิง ลักษณะการยิงไม่ใช่การยิงโต้ตอบ เป็นการยิงจากฝ่ายเดียว ที่มีการแถลงว่าในวัดเจออาวุธสงครามมากมาย แล้วทำไมตอนที่ถูกยิงถล่มใส่ จึงไม่มีใครยิงตอบโต้ออกไป ก็เพราะผู้ชุมนุมในวัดมีแต่มือเปล่า ไม่มีอาวุธเลย" นายวสันต์กล่าว

นายวสันต์ กล่าวต่อว่า เช้าวันที่ 20 พ.ค. ตนเป็นคนชันสูตรเบื้องต้นทั้ง 6 ศพ พร้อมกับหมอพรทิพย์ และตำรวจเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุโดยรอบ โดยใช้สุนัขตำรวจเข้าไปตรวจสอบทั้งหมด แม้กระทั่งกุฏิพระก็ตาม หรือรอบๆ วัดก็ตาม ก็ไม่พบอาวุธอะไรทั้งสิ้น มีแต่ระเบิดพลุระเบิดเพลิงบ้าง ประทัดบ้าง แค่นั้นเอง แต่พอทหารเข้าไปกลับเจออาวุธสงครามที่มากมายจนไม่น่าเชื่อว่ากลุ่มนปช.จะมีอาวุธขนาดนี้เลยหรือ หน่วยแพทย์อาสาจะมีอาวุธขนาดนี้เลยหรือ

"ตำรวจเข้ามาตรวจตอนเช้าวันที่ 20 พ.ค. วันที่เราลำเลียงศพทั้ง 6 ศพเข้าไปที่นิติเวช ร.พ.ตำรวจเรียบร้อย ตำรวจเข้าไปตรวจพื้นที่โดยรอบไม่พบอาวุธใดๆ ทั้งสิ้น ทหารเข้ามาตรวจอีกรอบประมาณเที่ยงวันที่ 20 พ.ค. อยู่ๆ ก็เจออาวุธแม้กระทั่งในน้ำหน้าโบสถ์ หรือในกุฏิพระ หรือในป่าพงหญ้าที่เป็นเขตอภัยทานภายในวัด เป็นที่เดียวกับที่เราได้ตรวจดูก่อนหน้านี้ และเราเห็นแล้วว่ามันไม่มีอะไร ผมต้องเดินตรวจคนป่วยทั้งคืน จะมีคุณลุง คุณป้าหลายท่านที่กลัว และที่จิตเสียไปก็หลายท่านจากเหตุการณ์นี้" นายวสันต์กล่าว

นายวสันต์ กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าเกิดการยิงถล่ม คนข้างในวัดก็นั่งคุยกันเป็นปกติ มีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เด็กๆ ก็มาก ถ้าเป็นผู้ชายก็เป็นคนแก่ พอเกิดการยิงถล่มขึ้น ทุกคนมีแต่ความหวาดกลัว อยู่กันแบบนั้นทั้งคืน ขนาดตอนเช้าตำรวจเข้าไปยังโดนยิงเลย แต่ทุกคนไม่คิดเพราะมันเช้าแล้ว สิ่งที่ไม่น่าเกิดมันก็เกิด มีคนออกไปหาอาหาร น้ำดื่มมาให้คนข้างในกินก็ยังโดนยิงเข้ามา แต่ไม่มีใครเป็นอะไร

"ผมอยากเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับศพผู้เสียชีวิต หรือหน่วยพยาบาลที่สูญเสียชีวิตในวันนั้น ต้องการให้คนที่ยิงออกมายืนกรานว่าเขาเป็นคนทำนะ ต้องการให้ผู้สั่งการรับผิดชอบเหตุการณ์นี้ สิ่งที่เกิดขึ้นผมต้องการความยุติธรรมให้เพื่อนพ้องพี่น้องเท่านั้น ไม่ต้องการอะไรเลย ค่าเสียหายมันช่วยอะไรไม่ได้ ต้องการคนรับผิดมากกว่า เงิน 4-5 แสนบาทที่รัฐบาลให้ มันทำให้ชีวิตคนๆ หนึ่งเกิดขึ้นมาได้ไหม ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน พวกผมต้องการความยุติธรรมและให้มีคนออกมารับผิดชอบเท่านั้น" นายวสันต์กล่าว
นายวสันต์ กล่าวต่อว่า เราเป็นหน่วยกู้ชีพ เป็นหน่วยพยาบาลที่รับใช้สังคมมาตลอด และต้องได้รับผลตอบแทนอย่างนี้หรือ ไม่มีประเทศไหนหรอกที่ทำกับหน่วยพยาบาลถึงขนาดนี้ ทุกวันนี้ไม่มีหน่วยงานไหนที่ติดต่อเข้ามาหาตนเลย แม้กระทั่งจะเข้ามาช่วยเรื่องโน้น เรื่องนี้ก็ไม่มี มาสอบถามข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ก็ไม่มี มีแต่นักข่าวสื่อมวลชนที่เข้ามาสอบถามเหตุการณ์ต่างๆ ตนพร้อมเสมอ พร้อมที่จะเป็นพยานทวงความยุติธรรมให้เพื่อนๆ ที่เสียชีวิต ไม่กลัวกับสิ่งที่จะเกิดตามมาภายหลัง ตนพร้อมที่จะสู้เพื่อเพื่อนน้องที่เสียชีวิต ตนไม่ต้องการเงินทอง ต้องการแค่ความยุติธรรมที่จะมีให้กับหน่วยกู้ชีพ หรือพยาบาลแค่นั้นเอง

"ตอนที่มีการยิงกันไม่มีการประกาศเตือนใดๆ จากเจ้าหน้าที่เลย มีแต่หลวงพ่อในวัดที่ตะโกนออกมาว่าให้ญาติโยมทุกคนอยู่บริเวณในวัด เพราะวัดขึ้นป้ายแล้วว่าเขตอภัยทาน เขตปลอดอาวุธ แต่สิ่งที่เกิดมันไม่ใช่ มันกลายเป็นเหมือนว่าเราไม่ใช่คนวิ่งแล้วให้เขายิง เราพยายามเข้าไปช่วยเหลือคนเจ็บกลับโดนไล่ยิงแทน ความจริงเมื่อเกิดเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนต่างวิ่งหนีเอาตัวรอด แต่เราเป็นหน่วยกู้ชีพเราไม่คิดหนี เราเห็นคนเจ็บเราก็เข้าไปช่วย เพราะเราคิดในใจว่าคงไม่ยิงเราหรอก เพราะเราเป็นหน่วยกู้ชีพ เราไม่ได้แบ่งแยกทหารประชาชน ทหารเจ็บเราก็ช่วย ผู้ชุมนุมเจ็บเราก็ช่วย"นายวสันต์กล่าวและว่า พวกตนขอยืนยันว่าที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะต้องการทวงความยุติธรรมให้กับเพื่อนๆ ที่เสียชีวิต ทวงความ ยุติธรรมให้กับหน่วยกู้ชีพและอาสาพยาบาลทั้งหมด

ีที่มา

วันที่ 09 มิถุนายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7132 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdNakE1TURZMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOaTB3T1E9PQ==

4 ศพเสื้อแดงไร้ญาติ ที่สุสานสว่างประทีปธรรมสถานศรีราชา จ.ชลบุรี

ที่สุสานสว่างประทีปธรรมสถานศรีราชา จ.ชลบุรี ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบศพไร้ญาติ ภายหลังทราบว่ามีการนำศพของกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.นำมาฝังไว้ที่สุสานดังกล่าว พบว่าสุสานดังกล่าวมีเนื้อที่กว่า 10 ไร่ เป็นสถานที่ฝังศพของผู้เสียชีวิตชาวจีน รวมทั้งศพไร้ญาติ โดยพบว่าศพไร้ญาติมีมากกว่า 100 ศพ แต่ละรายถูกบรรจุในโลง และเก็บไว้ในช่องบรรจุศพที่ทำด้วยปูนเป็นช่องเรียงราย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากการตรวจสอบบริเวณจุดที่มีการฝังศพไร้ญาติ จาก 100 ศพ พบว่ามี 4 ศพ ที่ทางร.พ.รามาธิบดี ส่งมายังสุสานดังกล่าว ศพแรกเป็นชายอายุประมาณ 50 ปี ผิวดำแดง ฝังอยู่ในหลุมที่ 53 สภาพศพถูกยิงบริเวณคิ้วขวา 1 แห่ง ส่วนศพที่สอง เป็นชายไม่ทราบชื่อผิวดำแดง อายุประมาณ 40 ปี ฝังอยู่ในหลุมที่ 54 บริเวณหน้าอกฝั่งขวามีรอยสักยันต์รูปปลา ส่วนฝั่งซ้ายเป็นรูปราหูอมจันทร์ บริเวณใต้ราวนมขวาสักเป็นรูปมังกร สภาพศพถูกยิงบริเวณด้านหลัง รายที่ 3 หลุมที่ 55 เป็นศพด.ช.ไม่ทราบชื่ออายุประมาณ 15-16 ปี สูงประมาณ 140 ซ.ม. ลักษณะผมสั้น ถูกอาวุธปืนยิงเข้าที่บริเวณหน้าอกซ้ายและใต้ราวนมซ้ายรวม 2 นัด โดยศพเด็กคนดังกล่าวถูกยิงที่ซอยรางน้ำ รายที่ 4 หลุมที่ 56 เป็นชายอายุประมาณ 40 ปี ถูกยิงที่ราวนมขวา สภาพศพเป็นชายผมสั้น มีหนวด

ให้ญาติมาติดต่อรับศพ

ทั้งนี้ยังมีศพนายวุฒิชัย วราคำ อายุ 21 ปี ชาว ต.นาหว้า จ.อำนาจเจริญ เป็นผู้ชุมนุมเสื้อแดง ถูกปืนยิงทะลุหลัง ญาติเดินทางมารับไปแล้วเมื่อวันที่ 1 มิ.ย.

นายศักดิ์เจริญ แดงประเสริญสุข ประธานหน่วยกู้ภัยศรีราชา และเป็นผู้ดูแลสุสานดังกล่าว เปิดเผยว่า ศพของกลุ่มคนเสื้อแดงทางร.พ.รามาฯ นำมาส่งให้ตั้งแต่วันที่ 17 และวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายหลังจากศพดังกล่าวไม่มีญาติมารับไปบำเพ็ญกุศล ตนจึงรับไว้เพื่อนำไปเก็บไว้ในสุสาน เพื่อรอญาติมารับศพกลับไป ซึ่งศพไร้ญาติปัจจุบันมีมากว่า 100 ศพ และสุสานแห่งนี้สามารถรับศพทุกประเภทได้ไม่เกิน 1,500 ศพ หากว่าญาติคนใดที่คิดว่าผู้เสียชีวิตทั้ง 4 รายเป็นญาติ ให้ติดต่อมาได้ที่สมาคมพุทธมามกสว่างประทีปธรรมสถาน เลขที่ 76/1 ถ.สุรศักดิ์สงวน ซ.โรงเจ อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี โทร. 038-311-692 โดยให้นำหลักฐานของผู้เสียชีวิตมายืนยัน ก็จะมอบศพคืนให้

ด.ต.จีระศักดิ์ ธนะสัมบัญ

ด.ต.จีระศักดิ์ ธนะสัมบัญ ผบ.หมู่(ป) สภ.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิง เทรา ซึ่งเสียชีวิตระหว่างปฏิบัติหน้าที่ประจำจุดตรวจบริเวณปากซอยงามดูพลี ถ.พระราม 4 แขวงทุ่งมหาเมฆ เขตสาทร กทม. ถูกรถยนต์ชนบาดเจ็บสาหัส เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. เวลาประมาณ 01.50 น. หลังเกิดเหตุเข้ารักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจ และเสียชีวิตในวันเดียวกัน เนื่องจากเลือดคั่งในสมอง

โฆษกตร.กล่าวต่อว่า สำหรับความช่วยเหลือครอบครัวจะได้รับเงินฌาปนกิจ จากสวัสดิการตร. จำนวน 350,000 บาท และเงินช่วยเหลือจากกองทุนสวัสดิการ จำนวน 100,000 บาท ทั้งนี้ช่วยเหลือเบื้องต้นไปก่อน 100,000 บาท เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายทำศพ และได้สั่งการฝ่ายกำลังพลเสนอพิจารณาปูนบำเหน็จความชอบเลื่อนขั้นเงินเดือน 3 ขั้น และเสนอขอพระราชทานเพิ่มยศ 3 ชั้นยศ เป็นร.ต.อ.

โฆษกตร.กล่าวด้วยว่า สำหรับบุตรของผู้เสียชีวิตจะได้รับการดูแลให้ทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรี และได้สิทธิเข้ารับราชการตำรวจสืบต่อบิดา ซึ่งกรณีนี้นางนิศารัตน์ ธนะสัมบัญ ภรรยาผู้เสียชีวิต จะขอใช้สิทธิเข้ารับราชการเป็นตำรวจสืบต่อจากสามี เพื่อดูแลครอบครัวต่อไป ในส่วนพิธีศพของ ด.ต.จีระศักดิ์จะตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดกระบกหวาน ต.ทุ่งพระยา อ.สนามชัยเขต จ.ฉะเชิง เทรา ตั้งแต่วันที่ 5-11 มิ.ย.นี้ และมีพิธีพระราชทานเพลิงศพวันเสาร์ที่ 12 มิ.ย.

นายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี

บ้านเลขที่ 319/5 หมู่ 2 การเคหะทุ่งสองห้อง แขวงทุ่งสอง ห้อง เขตหลักสี่ กทม. ของนายรพ สุขสถิตย์ อายุ 66 ปี 1 ใน 6 เหยื่อกระสุนปืนที่เสียชีวิตภายในวัดปทุมวนารามราช วรวิหาร เขตอภัยทาน โดยนายรพเป็นศพสุดท้ายที่ตกค้างอยู่ภายในสถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ ตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. ญาติเพิ่งขอรับกลับไปทำพิธีทางศาสนาเมื่อวันที่ 30 พ.ค. เนื่องจากเจ้าหน้าที่ระบุชื่อผิดเป็นนายวิชัย มั่นแพ อายุ 30 ปี จนเกิดความสับสน

นางสมพิศ สุขสถิตย์ อายุ 59 ปี ภรรยานายรพ เผยว่า สามีเป็นคนขับรถลีมูซีนส่งผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิ ปกติเป็นคนสนุกสนานร่าเริงคุยสนุก และขยันขันแข็ง เป็นเรี่ยวแรงสำคัญของบ้าน การทำงานของสามีจะเป็นกะ ไปกินนอนที่สนามบิน สุวรรณภูมิครั้งละ 5-6 วัน จากนั้นกลับมาพักที่บ้านประมาณ 5 วัน ทุกครั้งที่หยุดงานจะมีเพื่อนชวนไปร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเป็นประจำ แต่ไม่ค่อยนำมาเล่าให้ที่บ้านฟัง เนื่องจากคนในบ้านไม่ใช่คนเสื้อแดง และไม่ค่อยสนใจอะไรนอกจากทำมาหากิน ครั้งสุดท้ายที่เห็นสามีประมาณวันที่ 17-18 พ.ค. โดยนายรพเพิ่งกลับจากที่ชุมนุมมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ยังเข้าใจว่าจะ
ไปทำงาน ไม่คิดว่ากลับไปร่วมชุมนุมจนต้องมาจบชีวิตลง

นางสมพิศกล่าวว่า คิดแต่เพียงว่าสามีไปทำงาน เมื่อมีเหตุการณ์ปะทะระหว่างผู้ชุมนุมและทหาร จึงไม่ได้สนใจอะไร จนผ่านไป 2-3 วัน มีเพื่อนมาถามหาว่าปลอดภัยหรือไม่ จึงเริ่มสะกิดใจให้ลูกชายไปสอบถามบริษัมรถลีมูซีนที่สามีทำงานอยู่ เลยรู้ว่าหายตัวไป จึงรีบไปแจ้งความไว้ที่ สน.ทุ่งสองห้อง พอตรวจชื่อคนตายไม่พบชื่อสามี จึงคิดว่าคงเพียงแค่รับบาดเจ็บหรือถูกจับเท่านั้น จึงแยกกับลูกชาย 2 คน คือ นายชยรพ สุขสถิตย์ และนายสุรศักดิ์ สุขสถิตย์ ออกตามหาที่ร.พ.ต่างๆ รวมถึงที่ศอฉ. ทั้งที่กองทัพภาคที่ 1 และ ร.11 รอ. รวมถึงเรือนจำทุกแห่งที่มีข่าวว่าควบคุมตัวกลุ่มคนเสื้อแดงไว้ แต่ไม่พบสักแห่ง

"วันหนึ่งสุรศักดิ์ลูกชายป้า โทรศัพท์มาบอกว่าเจอพ่อแล้ว แต่ไม่เจอตัว เห็นในหนังสือพิมพ์ว่าพ่อนอนตายอยู่ แล้วสุรศักดิ์ก็ไปโรงพยาบาลตำรวจเพื่อขอดูศพ แต่เดินวนเวียนอยู่หน้าโรงพยาบาลไม่กล้าเข้าไป เพราะคนที่ตายไม่ใช่ชื่อพ่อ แต่เห็นว่าเหลือเพียงศพเดียวเท่านั้นที่ยังไม่มีญาติมารับจึงตัดสินใจเข้าไปขอดูศพ และพบว่าเป็นพ่อจริงๆ จึงขอรับศพกลับมาทำพิธีและเพิ่งเผาไปเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. และไม่ได้มีทรัพย์สินอะไรกลับมาเลย ทั้งกระเป๋าสตางค์ที่พกติดตัวอยู่ตลอดเวลาหรือทรัพย์สินอื่น" ภรรยาเหยื่อกล่าว

นางสมพิศกล่าวอีกว่า ช่วงงานศพมีเพื่อนบ้านและคนเสื้อแดงมาช่วยงานตลอด และร่วมเป็นเจ้าภาพด้วย ส่วนการช่วยเหลือจากทางราชการ ยังไม่มีอะไรให้ ทั้งที่ไปลงทะเบียนขอความช่วยเหลือทุกแห่งตามที่แจ้งไว้ มีแต่บอกว่าจะติดต่อกลับมาภายใน 1 เดือน หากไม่มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา ให้ไปตามเรื่องเองอีกครั้งเท่านั้น

ด้านนายชยรพ สุขสถิตย์ บุตรชาย กล่าวว่า เมื่อทราบว่าพ่อหายไปได้ออกตามหาพ่อ ร่วมกับน้องชายคือนายสุรศักดิ์ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าจะไปตามหาพ่อที่ไหน เลยคิดว่าน่าจะไปตามที่ที่คิดว่าพ่อน่าจะไป โดยแบ่งสถานที่กันไปตามหา ตนออกตามหาที่บ้านของญาติทุกคน ทั้งบ้านอา บ้านย่า ส่วนน้องชายจะไปตามหาที่ทำงานพ่อคือสนามบินสุวรรณภูมิ ใช้เวลาตามหาประมาณ 1 สัปดาห์ ต่อมาน้องชายไปเจอรูปของพ่อในหนังสือพิมพ์ เลยมั่นใจว่าพ่อเป็นคนในภาพนั้น จึงไปตามที่สถาบันนิติเวช ร.พ.ตำรวจ เพื่อไปขอดูศพที่ไม่มีญาติ ซึ่งขณะนั้นเหลืออยู่ศพเดียวที่ไม่มีญาติมาติดต่อรับดูแล ตนก็มั่นใจว่าต้องเป็นพ่อแน่นอน แต่ทางนิติเวชกลับระบุชื่อผิดเป็นนายวิชัย มั่นแพ อายุ 30 ปี แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เมื่อแสดงหลักฐานแล้วก็ขอรับศพพ่อมาทำพิธีทางศาสนา

นายมานะ หรือเบิร์ด แสงประเสริฐ อายุ 21 ปี

ด้านนายกฤษณา ศรีสดชุ่ม เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊ง รุ่นพี่ของนายมานะ หรือเบิร์ด แสงประเสริฐ เจ้าหน้าที่กู้ภัยป่อเต็กตึ๊งใต้ 8 จุดทองหล่อ รหัส 015 ที่ถูกยิงเสียชีวิตบริเวณบ่อนไก่ เปิดเผยว่า ตนเป็นผู้ดูแลนายมานะมาตลอด เป็นเด็กนิสัยดี มีความกตัญญูและเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยาก และวันที่นายมานะเสียชีวิตนั้นเขาได้ออกไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ที่ถูกยิงบริเวณแยกบ่อนไก่ ซึ่งบริเวณดังกล่าวอยู่ใกล้กับบ้านของเขา โดยนายมานะ เป็นเสาหลักของครอบครัว ต้องขับแท็กซี่เพื่อหาเงินช่วยทางบ้าน ซึ่งรถแท็กซี่นั้นเป็นของนายมานะเองที่เขาทุ่มเทกำลังกายเพื่อเก็บเงินซื้อมา และตอนนี้ยังผ่อนอยู่

นายกฤษณา กล่าวต่อว่า สำหรับประวัติการทำงานกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊งของเบิร์ดนั้น นายมานะเริ่มมาทำงานเป็นอาสากู้ภัยป่อฯ มาตั้งแต่อายุ 13 ปี ทำด้วยใจรักจริงๆ และปัจจุบันเขาอายุ 21 ปี ในวันที่เขาเสียนั้นเป็นวันแรกที่เพิ่งได้บัตรแข็งของมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ซึ่งถือว่าเป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิเต็มตัว เพราะการจะได้บัตรแข็งนั้นจะต้องได้รับการฝึกอบรมจากทางมูลนิธิมาอย่างเข้มงวด และต้องผ่านการฝึกการช่วยเหลือคนจากหลายหน่วยงาน ไม่ใช่เรื่องง่าย คนที่ไม่มีใจรักจริงๆ ไม่มีทางได้แน่นอน และการเสียชีวิตของนายมานะครั้งนี้ทำให้ตนถึงกับร้องไห้ เป็นคนแรกที่ตนเสียใจมาก เพราะตนกับนายมานะสนิทกันมาก ฝึกเขามากับมือ นายมานะมีความตั้งใจที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่มูลนิธิป่อเต็กตึ๊งตัวจริง และวันนี้นายมานะก็ทำได้ แต่ต้องมาจากไปเสียก่อน

นายกฤษณา กล่าวด้วยว่า นายมานะมีความขยันขันแข็งในหน้าที่การงานมาก ก่อนถูกยิง ขณะนั้นเขากำลังนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านพักย่านบ่อนไก่ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. เขาได้รับแจ้งจากเพื่อนกู้ภัยด้วยกันว่ามีคนเจ็บถูกยิงอยู่บริเวณปากซอยงามดูพลี ถนนพระราม 4 หลายราย นายมานะจึงละจานข้าวรีบแต่งชุดกู้ภัยมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ออกจากบ้านพักทันที เมื่อมาถึงจุดเกิดเหตุซึ่งห่างจากบ้านเขาไม่มากนัก พบคนเจ็บนอนร้องขอความช่วยเหลือบนถนนอยู่ 3 ราย โดยส่วนใหญ่ถูกยิงขา และทราบว่าผู้ถูกยิงในวันนั้นมีนักข่าวด้วย ขณะนั้นยังมีการยิงอย่างต่อเนื่อง นายมานะจึงหาทางที่จะเข้าไปให้ถึงตัวผู้บาดเจ็บเพื่อดึงออกมารักษา โดยเขาได้ใช้วิธีคลานเข้าไปโดยเลาะไปตามกำแพง ในมือถือธงกาชาด และสวมหมวกตราสัญลักษณ์กาชาด เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเจ้าหน้าที่พยาบาลชัดเจน กำลังเข้าไปช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ แต่ปรากฏว่านายมานะถูกยิงบริเวณท้ายทอย ทะลุเบ้าตาเสียชีวิตคาที่ ก่อนจะคลานไปถึงผู้บาดเจ็บอีกเพียงไม่กี่เมตร ขณะนั้นเพื่อนของนายมานะที่ไปด้วยกันก็ได้รีบวิ่งผ่าดงกระสุนเข้าไปดึงนายมานะออกมาส่ง ร.พ.เลิดสิน แต่ไม่ทัน เพื่อนๆ ที่เข้าไปช่วยเขาออกมา ต่างบอกว่ามีคนยิงมาจากตึกสูง ตนอยากถามว่าแล้วตึกสูงแถวนั้นใครอยู่ข้างบน และรัฐบาลต้องออกมารับผิดชอบเรื่องนี้

Wednesday, June 9, 2010

นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี

นายอัฐชัย ชุมจันทร์ อายุ 28 ปี ชาวจังหวัดจันทบุรี ถูกทหารยิงตายในวัดปทุมวนาราม เมื่อค่ำวันที่ 19 พ.ค. ขณะเข้าช่วยเหลือพาผู้สูงอายุหลบภัยในวัด แล้วเดินออกนอกประตูรั้ววัด จะมุ่งหน้าไปที่สำนัก งานตำรวจแห่งชาตินั้น


วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปที่บ้านพักเลขที่ 151/3 หมู่บ้านรัตนะทรัพย์การ์เด้น ถ.ราชกิจ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อสอบถามความเป็นมาของเหยื่อที่ถูกยิงโหดในวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ ชุมจันทร์ พนักงานสอบ สวน (สบ 2) สภ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เปิดเผยว่า นายอัฐชัย เป็นน้องชาย เสียชีวิตเมื่อเย็นวันที่ 19 พ.ค. ขณะเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม ถูกยิงด้วยอาวุธสงคราม ที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้าย กระสุนทะลุปอด เสียชีวิตขณะเพื่อนนปช.ช่วยนำเข้าไปปฐมพยาบาลในเต็นท์ ภายในวัดปทุมวนาราม

เผยพาคนชรา-ผู้หญิงไปหลบภัย

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า นายอัฐชัย ย้ายมาพักอาศัยที่จันทบุรี เพื่อเรียนต่อมหาวิทยาลัยรามคำแหง คณะนิติศาสตร์ หลังจากที่นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมตอนปลายจาก อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งตนและพี่สาวช่วยกันส่งเสียให้เล่าเรียน เขาชอบกิจกรรมจึงเรียนช้า และหางานทำไปด้วย ตนจึงขอร้องให้เขาตั้งใจเรียนให้จบ เป็นความหวังของแม่ นิสัยใจคอของน้อง ชอบช่วยเหลือผู้สูงอายุ และรักประชาธิปไตย น้องชายไม่ใช่การ์ดนปช. แต่ร่วมชุมนุมทำหน้าที่ช่วยดูแลแจกอาหาร ประจำหน้าเวทีราชประสงค์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. หลังจากที่แกนนำยอมมอบตัว วัดปทุมวนารามได้เปิดให้ผู้ร่วมชุมนุมเข้าไปหลบอยู่ในวัด น้องชายก็เข้าไปทำหน้าที่ช่วยนำพาชาวบ้าน คนแก่ ชายหญิง หลบภัย

"จากนั้นในช่วงค่ำเวลาประมาณ 17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. น้องชายเดินออกมาจากรั้วประตูวัดปทุมวนาราม เพื่อเตรียมเดินทางต่อ จะเข้าไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ถูกยิงด้วยกระสุนสงครามที่บริเวณเหนือราวนมข้างซ้ายทะลุปอด ทราบว่ายิงมาจากที่สูง เพื่อนของเขาก็ช่วยนำร่างเข้าไปเพื่อปฐมพยาบาลในเต็นท์พยาบาลภายในวัด และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ผมทราบเหตุเมื่อเวลา 19.00 น. มีคนโทรศัพท์มาบอก" พ.ต.ต.ธีระวัฒน์กล่าว

พ.ต.ต.ธีระวัฒน์ กล่าวว่า ตนเป็นห่วงน้อง แต่เขารักประชาธิปไตย ทำได้แค่เตือนเขาให้ระวังตัว หลบให้ดี ไม่นึกว่าเหตุการณ์แค่ไปชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยแบบทั่วไป ธรรมดา มีคนไปจำนวนมาก ไม่น่าจะมีการยิงคนในวัด หรือหน้าวัด ซึ่งเป็นเขตอภัยทาน ท่านเจ้าอาวาสวัดก็ประกาศขึ้นป้ายเขตขออภัยทานไว้แล้ว เคยโทร.คุยกับเขาเสมอ และเตือนว่าให้หลบภัยอยู่ภายในเวทีชุมนุม หรือให้อยู่ภายในวัดปทุมวนาราม แต่สุดท้ายเขาก็มาถูกยิงเสียชีวิต

ลางสุดท้าย-สายรัดข้อมือ 3 สี

ด้านนางอัญชลี สาริกานนท์ พี่สาว กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุน้องชายไปหาตนที่บ้านพักในกรุงเทพฯ แล้วเขาถอดสายรัดข้อมือสามสีรูปธงชาติจากข้อมือข้างขวายื่นส่งให้แล้วพูดว่าจะให้พี่ไว้เป็นที่ระลึก ตนไม่นึกว่าจะเป็นลางครั้งสุดท้าย "วันนั้นน้องยังพูดอธิบายด้วยอารมณ์ และสีหน้าจริงจัง ว่า สีน้ำเงิน หมายถึงพระเจ้าอยู่หัว ที่เขาเทิดทูน ปกป้องสุดชีวิต สีแดงหมายถึงชาติไทย เขาจะไม่ยอมให้ใครมาทำลายชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา เขาบอกว่าเขาจะปกป้อง เขายอมตายได้ เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์"

นางอัญชลี กล่าวต่อว่า หลังจากน้องชายเสียชีวิต ตนและญาติ นำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดประทุมทอง ในหมู่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 21 พ.ค. และฌาปนกิจเมื่อวันที่ 23 พ.ค. ท่ามกลางญาติมิตร เพื่อนบ้าน และมีกลุ่มส.ส.พรรคเพื่อไทย ชาวนปช. ประมาณพันคน "การตายของน้องชาย การช่วยเหลือจากราชการ มาทดแทนกันไม่ได้ เราพี่น้องรักผูกพันกันมาก อยากให้เขามาอยู่กันพร้อมหน้าเหมือนเดิม"

นางอัญชลี ยังเปิดเผยว่า น้องชายเรียนจบนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรแล้ว กำลังสมัครสอบเพื่อทำงานหลายแห่ง สมัครสอบตำรวจ ยังไม่ทราบผล เขาเป็นความหวังของแม่ การตายของเขาทำให้แม่ ซึมเศร้าเสียใจอย่างมาก ส่วนคุณพ่อเสียชีวิตนานแล้ว

แม่เป็นชาวนาเมืองร้อยเอ็ด

ด้านนางสุนันทา ชุมจันทร์ อายุ 53 ปี มารดา กล่าวว่า ตนมีอาชีพทำนาอยู่ที่บ้านโพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด นายอัฐชัย เรียนจบชั้นมัธยมจากหมู่บ้านแล้ว เขาย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่ อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนต่อที่รามคำแหง เขาเรียนจบแล้ว กำลังสมัครหางานทำ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่านายอัฐชัย เกิดเมื่อวันที่ 30 ส.ค.2524 เป็นบุตรของนายนิคม (เสียชีวิต) กับนางสุนันทา ภูมิลำเนาเดิมอยู่บ้านเลขที่ 42 หมู่ที่ 11 ต.โพนทราย อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด หลังเรียนจบชั้นม.ปลายจากโรงเรียนบ้านโพนทราย แล้วย้ายไปพักอยู่กับพ.ต.ต.ธีระวัฒน์ พี่ชาย ที่อำเภอท่าใหม่ จ.จันทบุรี เพื่อเรียนหนังสือที่รามคำแหง โดยพี่ชายพี่สาวส่งเสียเรียน และนายอัฐชัย ทำงานรับจ้างไปด้วย เรียนจบปริญญาตรี คณะนิติศาสตร์ รับพระราชทานปริญญาบัตร เมื่อปี 2552 อยู่ระหว่างสมัครสอบรับราชการตำรวจ และสมัครสอบเข้ารับราชการหลายแห่ง

พยานที่บาดเจ็บยัน-ทหารยิง

พยานที่บาดเจ็บยัน-ทหารยิง

ยืนยัน - นายเพิ่มสุข ใจเย็น ชาวจ.นครพนม ซึ่งบาดเจ็บมาจากวัดปทุมฯ เปิดให้ดูบาดแผลกระสุนที่ก้นและโคนขาขวา ยืนยัน 100% ว่าทหารยิงลงมาจากรางรถไฟฟ้า ถ้าหลบเข้าใต้ท้องรถไม่ทัน อาจถึงตายวันเดียวกัน นายเพิ่มสุข ใจเย็น อายุ 55 ปี อยู่บ้านเลขที่ 12/1 ถ.ราชทัณฑ์ อ.เมือง จ.นครพนม ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ทหารกราดยิงจากรางรถไฟฟ้าบีทีเอสใส่ผู้ชุมนุมในวัดปทุมวนาราม เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 พ.ค. เปิดเผยถึงเหตุการณ์ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเฉียดตายว่า วันเกิดเหตุตนอยู่หน้า รร.โฟร์ซีซั่นส์ กำลังเก็บข้าวของในเต็นท์นครพนม 52 ได้ยินเสียงปืนไล่หลังมาจึงขับรถกระบะโตโยต้า สีน้ำเงิน ของตน ทะเบียน บน 3862 ร้อยเอ็ด เลี้ยวเข้าวัดปทุมวนาราม จอดอยู่ในวัดห่างประตู 6-7 เมตร ขณะเข้าวัดเวลาประมาณ 16.30.-17.00 น. วันที่ 19 พ.ค. ก็ได้ยินเสียงใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จึงนำรถมาจอดใกล้รถตู้สีขาว ของร.พ.วชิรพยาบาล และมีคนแอบรวมอยู่ด้วยประมาณ 3-4 คน ก่อนที่ทั้งหมดจะมุดเข้าใต้ท้องรถ ส่วนตนชะเง้อมองดูพบว่าที่สะพานรถไฟฟ้าบีทีเอส ได้ยินเสียงปืนดังขึ้นและเห็นทหาร 1 นายส่องปืนลงมา ก่อนยิงมาที่ตน กระสุนถูกโคนขาด้านขวา 1 นัด และก้นด้านขวา 1 นัด ได้รับบาดเจ็บ จึงล้มตัวนอนกลิ้งเข้าไปหลบใกล้รถเข็น

เผยนาทีเหยื่อถูกยิงดับหน้าวัด

นายเพิ่มสุข กล่าวระบุว่า คนที่ยิงใส่ชุดทหาร คาดว่าน่าจะเป็นอาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงไล่หลัง 4-5 นัด ถ้าตนโผล่อาจจะถูกยิงซ้ำจนตาย พอพลบค่ำเสียงปืนจึงสงบ มีพระภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปช่วยพยุงร่างเข้าที่กำบังในวัด ก่อนนำไปทำแผลกับหน่วยพยาบาลในวัด แล้วส่งไปรักษาต่อที่ร.พ.ตำรวจ

นายเพิ่มสุข กล่าวต่อว่า ขณะถูกซุ่มยิงบนสะพานรางรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น ตนยังเห็นกลุ่มผู้ชุมนุมที่กำลังวิ่งเข้ามาบริเวณหน้าวัด เป็นชาย ถูกยิงที่หน้าอก 1 นัด และลำคอ 1 นัด ผู้เห็นเหตุการณ์จึงช่วยอุ้มผู้บาดเจ็บเข้ามาในวัด พยาบาลอาสาพยายามปั๊มหัวใจไม่ถึง 5 นาที ชายคนดังกล่าวจึงเสียชีวิต

"ยืนยันว่าคนที่ยิงเป็นทหารร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะบิดาตนคือ ร.อ.สุชาติ ใจเย็น เคยรับราช การที่ ม.พัน.11 ค่ายอดิศร จ.สระบุรี ก่อนย้ายมา ม.2 พัน.6 จ.ขอนแก่น ผมพบเห็นทหารและคลุกคลีมาแต่เด็กๆ หลังเกิดเหตุวันที่ 20 พ.ค. นอนรักษาตัวที่ร.พ.ตำรวจแล้วจึงถูกส่งตัวกลับ แล้วขับรถกระบะคู่ชีพกลับบ้านที่จ.นคร พนม แต่จนถึงขณะนี้ยังนอนไม่หลับ เกรงจะมีคน ตามมายิงซ้ำอีก

นายพัน คำกอง อายุ 44 ปี

บ้านมัน ปลา เลขที่ 223 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ซึ่งเป็นบ้านของนายพัน คำกอง อายุ 44 ปี เหยื่อที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ทหารกระชับพื้นที่ราชประสงค์ เมื่อวันที่ 15 พ.ค. พบเพียงนางฉัตร สุวเพ็ชร อายุ 63 ปี อยู่เลขที่ 140 ม.5 ต.กุดแห่ อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เป็นแม่ยายของนายพัน ซึ่งปลูกบ้านอยู่คู่กับบ้านลูกเขยลูกสาว ลักษณะเป็นบ้านแบบชั้นเดียว ติดทุ่งนาท้ายหมู่บ้าน

นางฉัตร กล่าวว่า ลูกสาวคือนางหนูชิด คำกอง พร้อมลูกๆ 4 คน และญาติพี่น้องทราบข่าวนายพันเสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค. จึงได้ประกอบพิธีเผาศพนายพัน ที่วัดในกทม. จะเป็นวัดอะไรนั้น ตนจำไม่ได้ และได้นำกระ ดูกนายพันกลับมาประกอบพิธีอุทิศส่วนกุศลที่บ้านเกิดในเช้าวันที่ 25 พ.ค. ซึ่งตนและญาติพี่น้องได้นำกระดูกนายพันไปบรรจุอัฐิที่วัดป่าบ้านมันปลา ส่วนนางหนูชิด คำกอง ลูกสาวได้หอบเอกสารหลักฐานเดินทางไปติดต่อขอความเป็นธรรมจากรัฐบาลที่ทำเนียบรัฐบาลที่ กทม. เมื่อวันที่ 26 พ.ค. จนถึงขณะนี้ ยังไม่ได้ติดต่อกลับมา

ทิ้งลูก4คนเผชิญชะตากรรม

นางฉัตร กล่าวว่า ที่บ้านยึดอาชีพทำนาปีละครั้ง และเมื่อ 18 ปีที่ผ่านมา หลังนายพันแต่งงานกับลูกสาวตนแล้ว ก็ได้อพยพไปทำงานที่ กทม. เพื่อหนีความแห้งแล้ง นางหนูชิด ลูกสาวทำงานเป็นแม่บ้านที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน กทม. ส่วนนายพันลูกเขยเช่ารถแท็กซี่ หลายปีผ่านไปลูกเขยลูกสาวเก็บออมเงินมาสร้างบ้านให้ตน และบ้านเขาเองเพื่อให้ลูกเขา ซึ่งมีด้วยกัน 4 คน หญิง 1 คน ผู้ชาย 3 คน ได้อยู่เพื่อเรียนหนังสือ ปัจจุบันลูกชายคนโตเรียนที่วิทยาลัยโปลี จ.อำนาจเจริญ ลูกสาวคนรองเรียนชั้น ม.3 ที่โรงเรียนบ้านกุดแห่วิทยา ลูกชายเล็กอีก 2 คน เรียนชั้น ป.4 และชั้น ป.1 ที่โรงเรียนประจำหมู่บ้าน ทุกวันหลานๆ ทั้ง 4 คน ต้องใช้เงินค่ารถค่าอาหารขณะไปเรียนหนังสืออย่างน้อยวันละ 60 บาท เมื่อลูกเขยซึ่งเป็นเสาหลักในการหาเงินจุนเจือครอบครัว มาเสียชีวิตลงลูกชายลูกสาวเขาที่กำลังเรียน คงเดือดร้อนแน่ ยิ่งเด็กชายสุพจน์ คำกอง อายุ 10 ขวบ ซึ่งเรียนอยู่ชั้น ป.4 ป่วยมีโรคประจำตัว โรคหัวใจ โรคหืดหอบ ต้องไปหาหมอประจำใช้เงินมากคงเดือดร้อนอย่างหนัก ลำพังตนทำนาปีละครั้งคงไม่มีเงินพอจะพาหลานไปหาหมอบ่อยๆ

นางฉัตร ยังกล่าวถึงวันที่ลูกเขยเสียชีวิตโดยได้ฟังจากปากของนางหนูชิด ลูกสาวว่า ก่อนเกิดเหตุในวันที่ 15 พ.ค. นายพันนำรถแท็กซี่ไปจอดอู่เพื่อตรวจก่อนจะเดินทางไกลมาที่ยโสธร เพื่อมาส่งลูกๆ ทั้ง 4 คน ในช่วงเช้าของวันที่ 16 พ.ค. เพื่อเรียนหนังสือหลังลูกเขยลูกสาวมารับลูกไปอยู่ที่ กทม. ช่วงปิดเทอม ก่อนลูกเขยจะขับรถมาจอดที่อู่ นางหนูชิด ลูกสาวบอกว่านายพันได้ร้องบอกนายคมกริช คำกอง อายุ 18 ปี ลูกชายคนโตให้บอกน้องๆ ให้รอกินข้าวด้วยกันพ่อจะซื้อกลับข้าวมาด้วย และนางหนูชิดลูกสาวมาทราบจาก ร.พ.อีกทีว่าสามีเสียชีวิตแล้ว

นายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ อายุ 32 ปี

 ที่บ้านเลขที่ 252 บ้านห้วยหม้าย หมู่ 7 ต.ห้วยหม้าย อ.สอง จ.แพร่ ซึ่งเป็นบ้านของนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ อายุ 32 ปี การ์ดนปช. แพร่ ที่เสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา โดยมีนายพูน กิติวงศ์ อายุ 61 ปี และนางพยุง กิติวงศ์ อายุ 51 ปี บิดาและมารดานั่งพักอยู่ในบ้าน

นายพูน กล่าวว่า ตนต้องสูญเสียลูกชายซึ่งเป็นเสาหลักของครอบครัว นายปิยะพงศ์เป็นลูกชายคนโตยังไม่มีครอบครัว หลังเรียนจบระดับปวช.วิทยาลัยเทคนิคแพร่ แผนกช่างซ่อมบำรุง ได้เดินทางเข้าไปทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ทราบว่าทำงานบริษัทอะไรรู้ว่าเป็นช่าง นอก จากนี้ทราบลูกชายศึกษาที่มหาวิทยาลัยรามคำ แหง คณะรัฐศาสตร์ ใช้เวลาเรียน 3 ปีครึ่ง จนสำเร็จและรับปริญญาไปเมื่อปี 2546

นายพูน กล่าวต่อว่า สำหรับการต่อสู้ของกลุ่มนปช.ซึ่งลูกชายเป็นการ์ดนปช.นั้นตนไม่รู้มาก่อน พึ่งมาทราบเมื่อลูกเสียชีวิตจากการกระชับพื้นที่ของทหารเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ถึงกับช็อกแต่ไม่รู้จะทำอะไรได้ กระทั่งญาติๆ ที่กรุงเทพฯ ได้นำศพมาที่อ.สอง และมีกลุ่มเพื่อนนปช.หลายจังหวัดมาร่วมเป็นเจ้าภาพงานศพ และร่วมเผาศพเมื่อวันที่ 19 พ.ค.ที่ผ่านมา ตนภูมิใจที่ลูกชายมีความคิดความอ่านเป็นของตันเอง หลังจากเรียนจบที่แพร่ แล้วเข้าไปกรุงเทพฯ เพื่อหางานทำและเรียนรามคำแหง คณะรัฐ ศาสตร์ เป็นคณะที่สอนให้ลูกชายเรียนรู้เรื่องการเมืองการปกครอง และเมื่อเสียลูกชายไปทางบ้านก็ขาดการช่วยเหลือเนื่องจากทุกเดือนเขาจะส่งเงินมาให้เดือนละ 4 พันบาทเป็นประจำ

ด้านนางพยุง กล่าวว่า ครอบครัวมีด้วยกัน 4 คน นายปิยะพงศ์เป็นคนโต และมีน้องอีกคน คือ น.ส.ภูรินิชา กิติวงศ์ อายุ 21 ปี ที่กำลังศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง โดยพี่ชายเป็นผู้ส่งเสีย เมื่อพี่ชายจากไปไม่รู้จะหาเงินที่ไหนส่งเสีย ส่วนสามีเป็นโรคความดันสูง ร่างกายไม่แข็งแรง ตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ลูกชายเสียชีวิต มีแต่เพื่อนนปช.มาร่วมงานศพช่วยกันบริจาค ส่วนหน่วยงานองค์กรการกุศลในจังหวัดไม่มีหน่วยงานใดให้การช่วยเหลือ

วันเดียวกัน เวลา 09.00 น. นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เป็นประธานร่วมทำบุญเมือง และวันวิสาขบูชา ที่วัดพระบาทมิ่งเมืองวรวิหาร โดยมีหัวหน้าส่วนราชการ ตัวแทนเอกชน หอการค้า และผู้แทนฝ่ายทหารจากค่ายพระยาไชยบูรณ์ ม.พัน 12 อ.เด่นชัย จ.แพร่ พร้อมญาติผู้เสียชีวิตจากเหตุจลาจลทางการเมืองในกทม. เข้าร่วมพิธีทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมือง

หลังเสร็จพิธี นายสมชัย หทยะตันติ ได้มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวนายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ จากสำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทน มอบให้นายพูน กิติวงศ์ บิดา และ นางพยุง กิติวงศ์ มารดา เป็นค่าทำศพ 40,000 บาท ส่วนเงินสงเคราะห์กรณีตายได้ทั้งบิดา และมารดาคนละ 35,508.25 บาท เงินบำเหน็จชราภาพ 31,253.94 บาท รวมเป็นเงินที่ บิดามารดาของนายปิยะพงศ์ได้รับทั้งสิ้น 173,524.38 บาท

นายพันธ์เทพ เปาริก ประกันสังคมจังหวัดแพร่ กล่าวว่า นายปิยะพงศ์ กิติวงศ์ การ์ดนปช. ได้เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์จลาจล ทางประกันสังคมตรวจสอบพบว่าเป็นผู้ประกันตนกับบริษัทที่ทำงานอยู่ในกทม. เป็นผู้มีสิทธิ์ตามกฎหมายประกันสังคม ซึ่งได้ให้การช่วยเหลือตามสิทธิ์ดังกล่าว นอกจากนั้นยังมีค่าทำศพที่รัฐจัดให้ ซึ่งนายปิยะพงศ์เป็นรายเดียวในจังหวัดแพร่ที่มีการเสียชีวิตในเหตุการณ์จลาจล ซึ่งสำนักงานยังเปิดโอกาสให้แจ้งขอรับความช่วยเหลือได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่อาจต้องตกงานหรือออกจากงานเนื่องจากเหตุการณ์จลาจล สามารถแจ้งเพื่อขอรับการช่วยเหลือได้ทันที

น.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี

ที่บ้านของน.ส.สัญธะนา หรือไก่ สรรพศรี อายุ 30 ปี ที่บ้านหลังใหม่เลขที่ 199 ม.14 บ้านนาพูลทรัพย์ ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี หนึ่งในผู้โชคร้ายที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนเข้าลำคอตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุด้านหลังจนเสียชีวิต เมื่อเวลา 20.30 น. วันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่บริเวณปากซอยหมอเหล็ง กทม. โดยได้พบกับนายบุญถม สรรพศรี อายุ 53 ปี และนางวิไลวรรณ สรรพศรี อายุ 48 ปี บิดาและมารดาของน.ส.สัญธะนา ซึ่งมีอาชีพทำนาทำไร่ หลังกลับจากเดินทางขนข้าวของเครื่องใช้ของลูกสาวจากอพาร์ตเมนต์ที่เช่าพักอาศัยกลับไปจ.อุดรธานีบ้านเกิด

นายบุญถม กล่าวว่า น.ส.สัญธะนาเป็นลูกสาวคนโตในจำนวนพี่น้อง 2 คน อีกคนคือ น.ส.นาฏยา สรรพศรี อายุ 25 ปี ก่อนหน้านี้ "น้องไก่" ชอบร้องเพลงเนื่องจากเป็นคนเสียงดี ได้เที่ยวไปร้องตามงานประกวดหลายแห่งได้รางวัลมามากมาย โดยตนได้พาตระเวนร้องเพลงมาตั้งแต่เรียนอยู่ชั้น ป.6 จนมาจบ ม.6 ที่กศน. หลังจากนั้นเมื่อปี 2544 ลูกสาวได้สมัครกับบริษัทจัดหางานที่หน้าบ.ข.ส.ใหม่อุดรฯ เดินทางไปทำงานเย็บผ้าที่ประเทศไต้หวัน อยู่ที่นั่นนาน 3 ปี จากนั้นไปใช้แรงงานตัดเย็บผ้าต่อที่ประเทศญี่ปุ่น

"ขณะเดียวกันได้ขึ้นร้องเพลงไปด้วย กระทั่งกลับมาบ้านเมื่อปี 2549 ได้เป็นล่ามพาคนญี่ปุ่นเที่ยว ต่อมาได้เข้าทำงานของบริษัทซากุเทรดดิ้ง ของญี่ปุ่น เป็นบริษัทจัดส่งสินค้าไปต่างประเทศ อยู่ย่านมักกะสัน เลื่อนชั้นจนได้ตำแหน่งเป็นผู้จัดการแผนกจัดส่งสินค้า" บิดา กล่าว

นายบุญถม กล่าวต่อว่า ขณะที่ทำงาน ลูกสาวเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่ จะส่งเงินมาช่วยทางบ้านทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 5,000 บาทขึ้นไปด้วยบอกว่าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องลำบากอยากให้อยู่บ้านเฉยๆ ต่อมาเมื่อเห็นตนกับน.ส.นาฏยาน้องสาว อยากจะมีอาชีพค้าขายเสื้อผ้า เมื่อ 6 เดือนที่ผ่านมา น้องไก่ จึงผ่อนรถยนต์ ปิกอัพโตโยต้า วีโก้ สีดำ ทะเบียน บจ 7363 อุดรธานี ให้และได้ส่งเงินมาเพิ่มถึงเดือนละ 10,000 บาททุกเดือน โดยตนจะไปรับเสื้อผ้าจากอุดรฯ หรือรับจากกทม.ที่น้องไก่ซื้อส่งมาให้ นำไปขายตามตลาดนัด โดยขายมาได้ 3 เดือนแล้วกิจการไปได้ดี

ด้านนางวิไลวรรณ กล่าวว่า ในทุกปีช่วงงานบุญบั้งไฟ ลูกสาวจะกลับมาเยี่ยมบ้านเพื่อร่วมขบวนงาน นอกจากจะไปอยู่ที่ต่างประเทศเท่านั้นที่ไม่ได้มา โดยลูกสาวบอกจะกลับบ้านในวันที่ 19 พ.ค.นี้ ซึ่งงานมีขึ้นในวันที่ 20 พ.ค. แต่น้องไก่มาถูกยิงเสียชีวิตเสียก่อน ตนมารู้ข่าวเรื่องของลูกสาวในเวลา 21.00 น. วันที่ 14 พ.ค. โดยทางร.พ.พญาไท 1 แจ้งให้ทราบ ขณะอยู่ที่ตลาด ถึงกับช็อกทำอะไรไม่ถูก จึงได้พากันขึ้นไปกทม.เพื่อติดต่อขอรับศพ

นางวิไลวรรณ กล่าวต่อว่า โดยทราบจากทางบริษัทว่า วันนั้นน้องไก่เคลียร์งานยังไม่เสร็จ จึงขอผู้จัดการใหญ่ทำต่อจนถึง 2 ทุ่ม จากนั้นได้ซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของแฟนหนุ่มที่พึ่งคบหาพาไปที่พักของลูกสาว ที่เช่าอยู่คนเดียวในซอยหมอเหล็ง ระหว่างนั้นมีทหารเรียกให้หยุด ต่อมาได้มีเสียงปืนดังขึ้นยิงมาถูกไหล่ซ้ายของแฟนหนุ่ม ทะลุไปโดนต้นคอของน้องไก่ตัดเส้นเลือดใหญ่ทะลุทางด้านหลังออกไป

"ระหว่างนั้นได้มีคนพาทั้ง 2 ไปส่งยังร.พ. พญาไท 1 และลูกสาวได้เสียชีวิตทันที ส่วนแฟนลูกสาวแพทย์ได้รักษาเย็บถึง 20 เข็มและรอดชีวิตในที่สุด หลังทราบเรื่องดิฉันไม่รู้จะไปเอาอะไรที่ใคร มันมึนไปหมด จากนั้นจึงติดต่อขอรับศพและจ้างรถของโรงพยาบาลในราคา 13,700 บาท นำศพของน้องไก่ มาบำเพ็ญกุศลที่วัดป่าสามัคคีธรรม บ้านโนนสะอาด ต.บ้านธาตุ อ.เพ็ญ" มารดา กล่าวด้วยน้ำตานองหน้า

นางวิไลวรรณ กล่าวอีกว่า หลังจากนำศพลูกสาวมาบำเพ็ญกุศลทางศาสนาตั้งแต่วันที่ 15-17 พ.ค.แล้ว ได้บรรจุศพเก็บไว้ที่วัดตามประเพณีที่เขาห้ามเผาจนกว่าจะครบ 3 ปี และในวันบรรจุศพได้มีนายอำนาจ ผการัตน์ ผวจ.อุดรธานี นายศักดิ์ แตงฮ่อ นายอำเภอเพ็ญ พร้อมด้วยปลัดอำเภอและข้าราชการ มาร่วมงาน พร้อมมอบเงินช่วยศพ 13,000 บาท นอกจากนั้นยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท และทางบริษัทได้ช่วยเหลือมาอีก 1 แสนบาท

"ส่วนทางศูนย์ช่วยเหลือเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ตั้งอยู่บ้านราชวิถี เพียงขอเบอร์โทร. ไว้ บอกว่าตอนนี้เงินที่จะช่วยเหลือหมด ต้องรอจ่ายให้กับชุดที่ถูกยิงเมื่อเดือนเม.ย.ให้หมดเสียก่อนแล้วจึงจะช่วย ส่วนทางด้านประกันสังคมหลักฐานยังไม่เรียบร้อย จึงยังไม่ได้ยื่น แล้วยังไม่ทราบว่าจะได้เท่าไหร่" มารดา กล่าว

นางวิไลวรรณ กล่าวตอนท้ายว่า ตอนนี้ตนเสียเสาหลักของครอบครัว เพราะน้องไก่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างของบ้าน เมื่อเขารู้ว่าที่บ้านอยากได้อะไร ก็จะหามาให้เพราะอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้อยากให้รัฐบาลได้ช่วยเหลือตนบ้าง เพราะมีหนี้ที่ต้องผ่อนรถยนต์ ส่วนคนที่ยิงลูกสาวยังไม่รู้ว่าจะเอาผิดกับใคร ถือเป็นเวรกรรม ใครทำกรรมไว้ก็จะได้รับผลกรรมเอง และอยากเห็นคนไทยมารักกันให้มาก จะได้ไม่ต้องสูญเสียคนที่เรารักอีก

นายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี

ที่บ้านเลขที่ 133 ม.10 บ้านร่องายง ต.บ้านพร้าว อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ซึ่งเป็นบ้านของนายสุพจน์ ยะธิมา อายุ 37 ปี หนึ่งในผู้ที่เข้าร่วมชุม นุมกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่บริเวณราชประสงค์ และถูกยิงเสียชีวิต ต่อมาได้มีพิธีเผาศพที่กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 พ.ค.ที่ผ่านมา ภายในบ้านพบนางหลั่น สุขคำภา อายุ 77 ปี ซึ่งเป็นแม่ยายเฝ้าบ้านเพียงลำพัง

นางหลั่นกล่าวว่า นายสุพจน์เป็นลูกเขย แต่เดิมเป็นคนจ.ลำพูนได้มาแต่งงานอยู่กินกับนางสุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ลูกสาวมานาน โดยมาพักอาศัยอยู่ที่บ้านของตนหลังนี้ตั้งแต่แรก ปกติเวลาอยู่บ้านคนตายจะมีอาชีพทำไร่ทำนาและรับจ้างทั่วไป ก่อนหน้าที่ลูกเขยจะเสียชีวิตได้พาลูกชายตนไปเยี่ยมพ่อแม่ที่บ้านเกิดจ.ลำพูน และกลับมาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.

"ต่อมาวันที่ 30 เม.ย. ลูกเขยได้เดินทางไปหาน้าสาวที่กรุงเทพฯ โดยดิฉันไม่ทราบว่าไปทำ งานอะไรแต่มีญาติโทร.คุยกันทราบว่าไปเป็นยามเพิ่งไปอยู่ได้ประมาณ 1 ปีเท่านั้น กระทั่งมาเสียชีวิต ส่วนตัวไม่รู้มาก่อนว่าลูกเขยได้เข้าไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง โดยทางบ้านไม่มีใครทราบเลย

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปพบนาง สุมิตรา ยะธิมา อายุ 33 ปี ภรรยานายสุพจน์ ซึ่งทำงานอยู่ในร้านขายส่งขนมกิจทวี ภายในตลาด สดนครไทย ที่ยังสวมเสื้อสีดำไว้ทุกข์ให้กับสามี กล่าวว่า ตนทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านนี้มานานแล้ว ก่อนที่จะแต่งงานกับนายสุพจน์ หลังแต่งงาน อยู่กินด้วยกันจนมีลูกชาย 1 คนชื่อ ด.ช.ภูวดล ยะธิมา เรียนอยู่ชั้น ป.3 โรงเรียนบ้านป่าซ่าน ต.บ้านพร้าว ส่วนสามีเดินทางไปๆ มาๆ กรุง เทพฯได้ประมาณ 1 ปี ครั้งล่าสุดมาทำงานเป็นยาม และได้ส่งเงินมาให้ทางบ้านทุกเดือน เพราะเงินที่ได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว และนำไปใช้หนี้ที่กู้ธ.ก.ส.มา 100,000 บาท นางสุมิตรากล่าวต่อว่า ตนไม่เคยทราบมาก่อนว่าสามีไปร่วมชุมนุมกับกลุ่มคนเสื้อแดง กระทั่งมาทราบข่าวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจมาบอกที่บ้านในช่วงเช้าของวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมาว่าสามีถูกยิง หลังรับทราบ ช่วงเย็นจึงรีบเดินทางเข้ากรุงเทพฯพร้อมกับญาติทันที ส่วนศพสามีถูกยิงเข้าที่ศีรษะ หลังจากจัดพิธีเผาเสร็จ เบื้องต้นได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวังจำนวน 50,000 บาท ได้แบ่งเงิน 2 ส่วน ให้พ่อแม่สามี และตนกับลูก โดยแบ่งกันฝ่ายละ 25,000 บาท

นายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี

 นางสำลอง รูปคม อายุ 49 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ 5 บ้านนางาม ต.ศรีสำราญ อ.พรเจริญ จ.หนองคาย มีศักดิ์เป็นพี่ภรรยาของนายมนูญ ท่าลาด อายุ 44 ปี ที่ถูกยิงเสียชีวิตระหว่างมีการชุมนุมของคนเสื้อแดง กล่าวว่า นายมนูญบ้านเดิมอยู่ที่อ.ป่าติ้ว จ.ยโสธร ได้เดินทางไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ และได้พบกับนางผ่องใสน้องสาวตนซึ่งไปทำงานโรงงานเย็บผ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาได้แต่งงานอยู่กินจนมีลูกด้วยกัน 2 คน คนโตเป็นชายอายุ 21 ปี ส่วนคนเล็กเป็นหญิงกำลังเรียนชั้นม.1 อยู่ที่อ.พรเจริญ ทั้งสองได้ฝากลูกไว้ให้ตนเลี้ยงดู ส่วนทั้งสองคนทำงานที่กรุงเทพฯ สำหรับนายมนูญเป็นหัวหน้ารปภ.ที่บริษัทแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ส่วนน้องสาวทำงาน อยู่โรงงานเย็บผ้า พอช่วงเทศกาลสำคัญจะพากันกลับมาเยี่ยมลูก

นางสำลองกล่าวต่อว่า ได้เคยสอบถามน้องสาวเคยไปชุมนุมกับกลุ่มเสื้อแดงหรือไม่ น้องสาวบอกว่าไม่เคยไป ส่วนนายมนูญไปหรือไม่นั้นไม่ทราบ เพราะทำงานกันคนละเวลา คนหนึ่งทำงานเช้าอีกคนทำงานกลางคืน จึงไม่ค่อยได้เจอกันต่างคนต่างทำงาน วันเกิดเหตุเป็นช่วงที่นายมนูญไปทำงานตามปกติ ได้ออกตรวจพื้นที่ดูลูกน้องบริเวณแยกมักกะสัน พอถูกยิงคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ร้องตะโกนว่าตำรวจถูกยิง เพราะนึกว่านายมนูญซึ่งแต่งเครื่องแบบรปภ.เป็นตำรวจ อีกทั้งเป็นวันเดียวกับที่เสธ.แดงถูกยิงด้วย

นางสำลองกล่าวอีกว่า ล่าสุดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา นางผ่องใสได้โทรศัพท์มาบอกตนว่านายมนูญถูกยิงเสียชีวิต หลังรู้ข่าวแทบช็อก จึงได้พาญาติอีกจำนวนหนึ่งเดินทางไปรับศพที่โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่าศพนายมนูญถูกยิงเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด ขณะที่ยังสวมเครื่องแบบรปภ. จากนั้นเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดจอมทอง เขตบางขุนเทียน ท่าม กลางความเสียใจของญาติพี่น้อง

"ในวันงานได้มีนายไตรรงค์ ติธรรม และนายยุทธพงศ์ แสงศรี ส.ส.หนองคาย พรรคเพื่อไทย นำเงินมาช่วยเหลือจำนวนหนึ่ง ทางบริษัทที่นายมนูญทำงานได้มอบเงินมาช่วยอีก 20,000 บาท โรงงานเย็บผ้าของนางผ่องใสช่วยอีก 10,000 บาท นอกจากนี้ยังได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง และจากตัวแทนของพ.ต.ท.ทักษิณ อีกจำนวนหนึ่ง ขณะนี้ภรรยาผู้ตายอยู่ระหว่างเดินเรื่องขอรับเงินจากรัฐบาล และสำนักงานประกันสังคม โดยประมาณเดือนมิ.ย.จะนำกระ ดูกของนายมนูญมาทำบุญและเก็บไว้วัดที่บ้านนางามแห่งนี้ ส่วนน้องสาวหลังเสร็จงานจะกลับมาทำนาเลี้ยงลูกอยู่ที่บ้านเช่นเดิม"

นายชาติชาย หรือยศ ชาเหลา อายุ 25 ปี


ที่วัดป่าเจ้าคุณเพลินธรรมราม บ้านเจ้าคุณ หมู่ 3 ต.โชคนาสาม อ.ปราสาท จ.สุรินทร์ ได้มีชาวบ้านและกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ประจำท้องถิ่น 500 คน เดินทางมาร่วมรับศพนายชาติชาย หรือยศ ชาเหลา อายุ 25 ปี อยู่บ้านเลขที่ 36 บ้านเจ้าคุณ ซึ่งเคลื่อนย้ายศพจากกรุงเทพฯกลับมาภูมิลำเนาบ้านเกิด เพื่อประกอบพิธีฌาปนกิจในวันจันทร์ที่ 31 พ.ค.นี้ โดยนายชาติชายเป็นหนึ่งในเหยื่อที่ถูกยิงด้วยอาวุธปืนสงครามเสียชีวิต บริเวณศาลาแดง เมื่อวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในพิธีได้มีนางพลอน ขบวนงาม อายุ 52 ปี มารดา และนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ ภรรยาให้การต้อนรับแขกที่เดินทางมาร่วมงาน ก่อนจะนำศพนายชาติชาย ชาเหลา ขึ้นศาลาการเปรียญ พร้อมประกอบพิธีรดน้ำศพ โดยศพของนายชาติชายอยู่ในสภาพสวมเสื้อยืดนปช.สีแดง นุ่งกางเกงยีนสีน้ำเงิน มีผ้าพันรอบศีรษะ และพันที่ขาซ้าย ห่มด้วยผ้าแพรสีแดง โดยใช้ธงชาติคลุมร่าง สร้างความโศกเศร้าของหมู่ญาติพี่น้อง และเพื่อนๆ นอกจากนี้ทุกคนได้ส่งเสียงตะโกนว่า "วีรชนสุรินทร์ สละชีวิตเพื่อประชาธิปไตย"

นางพลอนกล่าวว่า ได้แต่งงานใช้ชีวิตคู่กับนายชัยยา ชาเหลา มีลูกด้วยกัน 3 คน นายชาติชายคนตายเป็นลูกคนโต ในระหว่างที่ลูกอายุได้ 2 เดือน สามีได้มาหย่าร้างแยกทางกัน โดยนายชาติชายเป็นลูกที่เลี้ยงง่าย อุปนิสัยโอบอ้อมอารี ชอบทำกับข้าวให้แม่และน้องทานบ่อยๆ ความฝันของลูกยศ คืออยากมีบ้าน และรถยนต์

ต่อมาลูกชายได้ทำงานรับจ้างขับรถแท็กซี่ที่กรุงเทพฯ เมื่อปี 2549 และได้แต่งงานอยู่กินกับนางสุดารัตน์ จันทพันธ์ อายุ 24 ปี ภูมิลำเนาอยู่ที่อ.บ้านกรวด จ.บุรีรัมย์ โดยฝ่ายภรรยาสาวทำ งานรับจ้างตัดเย็บเสื้อผ้าที่กรุงเทพฯ

ด้านนางสุดารัตน์ กล่าวว่า หลังใช้ชีวิตคู่สมรส สามีได้เช่าซื้อรถแท็กซี่มา 1 คัน ราคา 900,000 บาท เมื่อช่วงปี 2551 สามีได้เข้าร่วมอุดมการณ์กับกลุ่มนปช.คนเสื้อแดง ร่วมชุมนุมที่สะพานผ่านฟ้าฯ และที่ราชประสงค์ นอกจากนี้ ตนยามว่างเว้นจะไปร่วมชุมนุมกับสามีเป็นครั้งเป็นคราว และเมื่อรัฐบาลประกาศขอคืนพื้นที่ จึงได้เตือนสามีให้ระวังตัว กระทั่งวันที่ 13 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังจากเสธ.แดงถูกยิงที่ศาลาแดง แต่เวลาคนละช่วงในเวลา 21.00 น.สามีถูกยิงด้วยอาวุธปืนความเร็วสูงเจาะที่ขมับขวา 1 นัด และถูกยิงซ้ำเข้าที่ขาซ้าย 2 นัด สิ้นใจตายในที่เกิดเหตุ

"สำหรับการช่วยเหลือครอบครัวได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานเงินช่วยเหลือจำนวน 50,000 บาท และจากพรรคเพื่อไทย 100,000 บาท พร้อมค่าขอย้ายศพ 20,000 บาท จากนปช. 15,000 บาท" ภรรยาเหยื่อปืนกล่าว

นางสุดารัตน์กล่าวต่อว่า จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งช่วยเหลือครอบครัว เนื่องจากสถานะความเป็นอยู่ยากจน สามีเป็นเสาหลักหาเงินมาเลี้ยงดูแม่ ตา ยาย วัย 85 ปี ซึ่งร่างกายพิการ อีกทั้งตอนนี้ตั้งท้องได้ 2 เดือนแล้ว ไม่รู้จะคิดถึงอนาคต แต่ต้องเข้มแข็งสู้ชีวิตเพื่อเลี้ยงลูกให้เติบโต

ทางด้านนางกาญจนา เพ็ชรวิเศษ ปลัดอาวุโสอำเภอปราสาท กล่าวว่า เป็นตัวแทนนายอำเภอปราสาท พร้อมปกครองอำเภอนำพวงหรีดร่วมงานบำเพ็ญกุศล จากการสอบถามครอบครัวทราบว่าทางครอบครัวได้ทำเรื่องขอความช่วยเหลือจากกรมพัฒนาสังคมแล้ว หากยังไม่ทำเรื่องทางอำเภอจะประสานให้


ที่มา วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7122 ข่าวสดรายวัน

นายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี


ที่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 18 บ้านหนอง โน ต.รอบเมือง อ.หนองพอก จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งเป็นบ้านของนายพรสวรรค์ นาคะไชย อายุ 23 ปี ที่เสียชีวิตจากการสลายการชุมนุมบริเวณบ่อนไก่ กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา มีนายหนึ่งฤดี นาคะไชย อายุ 25 ปีพี่ชาย ได้กล่าวว่า นายพรสวรรค์น้องชาย หลังจากจบชั้นม.3 จากโรง เรียนบ้านหนองโน ได้เดินทางไปหางานทำที่กรุงเทพฯในตำแหน่งพนักงานโรงแรมไฟวิ่งกรุง เทพโฮเต็ล ย่านสุขุมวิท โดยน้องชายชื่นชอบกลุ่มคนเสื้อแดงมากได้ใช้เวลาว่างหลังเลิกงาน และวันหยุดจะไปร่วมชุมนุมตลอดเวลากับเพื่อนๆ และนายเอกชัย นาคะไชย อายุ 28 ปี พี่ชายคน ที่สองซึ่งไปรับจ้างทั่วไปที่ตลาดบางบัวทอง จ.นนทบุรี โดยวันเกิดเหตุน้องชายได้ไปคนเดียวและถูกยิงเข้าที่ช่องท้องจนตับฉีกขาด และหน้า อกซ้าย ถูกนำตัวส่งร.พ.เลิดสินและเสียชีวิตในเวลาต่อมา

นายหนึ่งฤดีกล่าวต่อว่า ญาติๆ ได้นำศพไปฌาปนกิจที่วัดป่าอัมไพรวัลย์ บ้านเกิด เมื่อวันเสาร์ที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมา มีผู้มาร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายธวัชชัย ฟักอังกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด ส.ส.พรรคเพื่อไทย นายอำเภอหนองพอก กลุ่มนปช.แดงร้อยเอ็ด และแดงภาคอีสานกว่า 1 พันคน ทั้งนี้มีตัวแทนนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี นำเงินมาทำบุญด้วย 1 แสนบาท จากผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด 2 หมื่นบาท และกลุ่มนปช.แดงอีก 1 หมื่นบาท

"รู้สึกเสียใจมาก ไม่คิดว่าจะสูญเสียน้องชายไปเร็ว เห็นกันอยู่หลัดๆ เหมือนฝันไป ช่วงสงกรานต์กลับบ้านมาเล่นด้วยกัน และยังไปส่งที่กรุงเทพฯเมื่อวันที่ 10 เม.ย. และเดินทางกลับบ้านในวันที่ 2 พ.ค.ที่ผ่านมา หลังรู้ข่าวแม่ถึงกับช็อกเป็นลมล้มพับ หลังโรงพยาบาลเลิดสินโทร.มาเมื่อเวลา 17.00 น. ว่าน้องถูกยิงอาการ 50-50 และครั้งที่สองเวลา 19.00 น.ได้เสียชีวิตแล้ว น้องชายเป็นคนดีรักครอบครัว ทำงานได้เงินมาจะแบ่งส่งมาให้ช่วยสร้างบ้านจนแล้วเสร็จและยังส่งค่าใช้จ่ายให้ทุกเดือน เดือนละ 2 พันบาท" พี่ชายเหยื่อปืน กล่าว

ด้านนางสะกัน นาคะไชย มารดา กล่าวว่า ได้รับเงินช่วยเหลือจากสำนักพระราชวัง 5 หมื่นบาท รู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ หาที่สุดมิได้ สำหรับลูกชายคนนี้ตนเสียใจมากที่ต้องสูญเสียเขาไปเนื่องจากเป็นคนดี รักแม่ รักครอบครัว

ที่มา วันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7122 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdORE13TURVMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOUzB6TUE9PQ==

ความจริงของเมืองไทย

จะรวบร่วมเรื่องที่จริง และถูกท้องทิ้งจากสังคมไทย