Monday, December 20, 2010

บทวิเคราะห์ คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕/๒๕๕๓ กรณีศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร

บทวิเคราะห์
คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่ ๑๕/๒๕๕๓ กรณีศาลรัฐธรรมนูญยกคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์
คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร

ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยที่ ๑๕/๒๕๕๓ เรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ เมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ และต่อมาได้มีการเผยแพร่คำวินิจฉัยกลางและความเห็นส่วนตนของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์คณะเมื่อวันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๕๓ คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร (www.enlightened-jurists.com) ได้ศึกษาคำวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว เห็นว่าเพื่อประโยชน์ในทางวิชาการและประโยชน์สำหรับการตรวจสอบกระบวนการทำงานตลอดจนการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ สมควรจะได้แสดงทัศนะทางกฎหมายในเรื่องดังกล่าว ดังนี้
๑. คดีนี้นายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) ผู้ร้อง ได้ยื่นคำร้องลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ผู้ถูกร้อง เนื่องจากปรากฏว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มูลของคดีสืบเนื่องจากคณะกรรมการการเลือกตั้งได้รับแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้รับคำร้องทุกข์กล่าวโทษซึ่งเมื่อได้พิจารณาคำร้องทุกข์กล่าวโทษประกอบกับพยานหลักฐานที่ปรากฏแล้วพบว่าพรรคประชาธิปัตย์มีส่วนเกี่ยวข้อง ๒ ข้อกล่าวหา คือ กรณีพรรคประชาธิปัตย์ได้รับบริจาคเงินและทรัพย์สินจากบริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ผ่านบริษัทเมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด โดยทำสัญญาว่าจ้างทำสื่อประชาสัมพันธ์ตามโครงการต่างๆ เป็นนิติกรรมอำพราง เพื่อหลีกเลี่ยงการรายงานการรับบริจาคเงินตามที่กฎหมายกำหนด กรณีหนึ่ง และกรณีที่พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง อีกกรณีหนึ่ง นอกจากนี้ยังปรากฏว่านายเกียรติอุดม เมนะสวัสดิ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดอุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือขอให้ตรวจสอบและดำเนินการกับพรรคประชาธิปัตย์ในข้อกล่าวหาทั้งสองข้อกล่าวหาทำนองเดียวกัน
๒. วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเรื่องดังกล่าว ต่อจากนั้น เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนและมีมติด้วยคะแนนเสียงข้างมากส่งเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๕ ทั้งสองข้อกล่าวหา หลังจากนั้นในวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ นายทะเบียนพรรคการเมืองได้แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบสำนวนการสอบสวน คณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ตรวจสอบและเสนอความเห็นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และนายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) มีความเห็นเสนอต่อประธานกรรมการการเลือกตั้ง (ซึ่งก็คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ คนเดียวกัน) เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ว่าอาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เห็นควรนำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งโดยด่วน คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมพิจารณาแล้ว เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำผิดทั้งสองข้อกล่าวหา โดยข้อกล่าวหาที่สองซึ่งเป็นมูลในคดีนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามกฎหมายและจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง อาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ (มาตรา ๖๒ และมาตรา ๖๕ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๔๑ หรือ มาตรา ๘๒ และมาตรา ๙๓ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐) จึงให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ต่อไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๔ (๓) (๔) และมาตรา ๙๕ 
๓. ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ สั่งห้ามมิให้ผู้ที่ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่หรือเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองหรือมีส่วนร่วมในการขอจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นใหม่ภายในห้าปีนับแต่วันที่พรรคประชาธิปัตย์ถูกยุบ และขอให้มีคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์มีกำหนดห้าปีนับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ ศาลรัฐธรรมนูญได้รับคำร้องเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา และพรรคประชาธิปัตย์ยื่นคำชี้แจงปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งในแง่ของบทกฎหมายที่ศาลจะนำใช้ปรับแก่คดีว่าต้องใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๔๑ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่เกิดข้อเท็จจริงระหว่าง พ.ศ.๒๕๔๗ - ๒๕๔๘ และทั้งในแง่ข้อเท็จจริงที่ว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้กระทำการดังที่นายทะเบียนพรรคการเมืองกล่าวอ้าง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยกคำร้อง
๔. ก่อนการไต่สวนข้อเท็จจริง พรรคประชาธิปัตย์ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในข้อกฎหมายว่าผู้ที่มีอำนาจวินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรยุบพรรคการเมืองหรือไม่ คือ นายทะเบียนพรรคการเมือง คณะกรรมการการเลือกตั้งไม่มีอำนาจทำความเห็นในเรื่องดังกล่าว มีแต่หน้าที่ให้ความเห็นชอบแก่นายทะเบียนพรรคการเมืองให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามีการดำเนินการข้ามขั้นตอน ไม่ได้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้ ย่อมส่งผลให้การทำความเห็นและการลงมติของคณะกรรมการการเลือกตั้งขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญฯ นายทะเบียนพรรคการเมืองจึงไม่มีอำนาจร้องขอต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้ นอกจากนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวนและไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง เพราะไม่ได้ยกเรื่องดังกล่าวขึ้นพิจารณาสอบสวนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันตามหลักการร้องคัดค้านเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๕๐
๕. นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องคัดค้านคำร้องขอให้วินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายว่าเมื่อมีการแจ้งเหตุต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง และนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาที่รอบคอบและเป็นธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งจึงเห็นชอบให้แต่งตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณารายงานสืบสวนสอบสวนแล้วเห็นว่านายประพันธ์ นัยโกวิท (กรรมการการเลือกตั้ง) ผู้สั่งให้นำความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวเข้าพิจารณาในคณะกรรมการการเลือกตั้งมิใช่นายทะเบียนพรรคการเมือง ประกอบกับนายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) ยังมิได้ให้ความเห็น จึงมีมติให้ส่งเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองพิจารณาก่อน หลังจากนั้นนายทะเบียนพรรคการเมืองจึงแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ เมื่อได้ความเห็นดังกล่าวแล้ว จึงนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาแล้วมีมติเอกฉันท์ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยคณะกรรมการการเลือกตั้งเสียงข้างมากมีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองแจ้งต่ออัยการสูงสุด เพื่อให้อัยการสูงสุดยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญตามมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ  แต่คณะกรรมการเสียงข้างน้อย ๒ เสียง ซึ่งหนึ่งในสองเสียงดังกล่าว คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ (ประธานกรรมการการเลือกตั้ง และนายทะเบียนพรรคการเมือง) เห็นว่าต้องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคสอง เมื่อความปรากฏต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งว่านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่ากรณีข้อกล่าวหาเกี่ยวกับพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้ใช้จ่ายเงินสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งให้เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย และจัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมืองไม่ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงต้องด้วยมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ จึงได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ ซึ่งที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่าความเห็นของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ (ประธานกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมือง) เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นการให้ความเห็นตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๓ วรรคสอง แล้ว เพื่อให้การดำเนินการครบถ้วนตามมูลกรณีและตามกฎหมาย จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ กรณีจึงถือว่านายทะเบียนพรรคการเมืองได้กระทำการครบถ้วนตามขั้นตอนที่กฎหมายบัญญัติแล้ว สำหรับประเด็นที่ว่าไม่ได้มีการยกเรื่องดังกล่าวขึ้นสอบสวนภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวันนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองคัดค้านว่ากรณีนี้ไม่ใช่เป็นกรณีคัดค้านค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้ง แต่เป็นกรณีการใช้จ่ายเงินกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมืองไม่ถูกต้องและการจัดส่งรายงานการใช้จ่ายเงินกองทุนดังกล่าวไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงอันเป็นเหตุยุบพรรคการเมือง ซึ่งไม่มีอายุความ เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้งพบเหตุ ก็สามารถหยิบยกขึ้นพิจารณาได้
๖. ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดประเด็นที่ต้องพิจารณาวินิจฉัยเป็น ๕ ประเด็น คือ ๑. กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ๒. การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ตกอยู่ในบังคับของพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๔๑ หรือพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ ๓. พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง (พ.ศ.๒๕๔๘) ตามที่ได้รับอนุมัติหรือไม่ ๔. พรรคประชาธิปัตย์จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินสนับสนุนของพรรคการเมือง (พ.ศ.๒๕๔๘) ถูกต้องตรงตามความเป็นจริงหรือไม่ และ ๕. หากเป็นกรณีมีเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารจะต้องถูกตัดสิทธิ หรือถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือไม่ อย่างไร
๗. ศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยในประเด็นที่สองเป็นลำดับแรก และเห็นว่าการกระทำตามมูลกล่าวหาแห่งคดีนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. ๒๕๔๗-๒๕๔๘ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อยู่ในบังคับแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ แต่ขณะยื่นคำร้องได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ แทนแล้ว ในส่วนของกฎหมายสารบัญญัติ (คือบทบัญญัติที่กำหนดว่าการกระทำใดเป็นความผิดหรือกำหนดข้อห้ามหรือข้อปฏิบัติ ) จะต้องใช้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งใช้บังคับอยู่ขณะเกิดเหตุ แต่ในส่วนของกฎหมายวิธีสบัญญัติ จะต้องใช้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการดำเนินการให้เป็นไปตามกฎหมาย
๘. สำหรับประเด็นแรกที่ว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ นั้น ศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่าการร้องขอให้ยุบพรรคการเมือง มี ๒ กรณีแยกต่างหากจากกัน คือ กรณีแรกเป็นกรณีที่พรรคการเมืองกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา ๙๔ นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งมีอำนาจแจ้งต่ออัยการสูงสุด ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งให้ยุบพรรคการเมืองนั้นได้ ตามมาตรา ๙๕ วรรคหนึ่ง และกรณีที่สอง เป็นกรณีที่พรรคการเมืองใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริงยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง มีอำนาจพิจารณายื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อมีคำสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง คดีนี้ต้องด้วยกรณีที่สอง ซึ่งมาตรา ๙๓ วรรคสองบัญญัติขั้นตอนไว้ว่า “เมื่อปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่งให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ความปรากฏต่อนายทะเบียน” ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญเห็นว่า ไม่ว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะทราบเองหรือบุคคลใดแจ้งให้ทราบ นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้มีอำนาจในการพิจารณาเบื้องต้นก่อนว่าการกระทำตามที่ทราบมานั้น เป็นเหตุให้พรรคการเมืองต้องถูกยุบหรือไม่ อำนาจดังกล่าว เป็นอำนาจเฉพาะตัวของนายทะเบียน หากนายทะเบียนเห็นว่าพรรคการเมืองใดใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามกฎหมายหรือไม่จัดทำรายงานการใช้จ่ายเงินให้ถูกต้องตรงต่อความเป็นจริง ย่อมเป็นกรณีที่ความปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง จึงเป็นหน้าที่ของนายทะเบียนพรรคการเมืองที่จะต้องขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อนเพื่อให้การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปด้วยความรอบคอบ และที่กฎหมายบัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ยื่นคำร้องโดยตรงก็เพราะนายทะเบียนมีอำนาจหน้าที่กำกับดูแลการใช้จ่ายเงินสนับสนุนพรรคการเมืองให้ถูกต้อง รวมทั้งการปฏิบัติงานทางเอกสาร การจัดทำเอกสารให้ถูกต้อง การทำรายงานให้ถูกต้อง อันเป็นงานประจำตามปรกติ ซึ่งนายทะเบียนต้องตรวจสอบเป็นประจำอยู่แล้ว โดยในการพิจารณาของนายทะเบียนในเรื่องดังกล่าว นายทะเบียนมีอำนาจแต่งตั้งหรือขอความเห็นจากผู้ใดก็ได้ รวมทั้งจากคณะกรรมการการเลือกตั้งด้วย แต่การตัดสินใจในขั้นตอนนี้ยังคงเป็นอำนาจของนายทะเบียนเท่านั้น
๙. ข้อเท็จจริงที่ศาลรัฐธรรมนูญรับฟังเป็นยุติ คือ เมื่อได้รับแจ้งจากกรมสอบสวนคดีพิเศษและนายเกียรติ์อุดม เมนะสวัสดิ์ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ได้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ และคณะกรรมการการเลือกตั้งได้มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน คณะกรรมการสอบสวนได้รายงานให้คณะกรรมการการเลือกตั้งทราบโดยมีความเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มิได้กระทำความผิด ต่อมาวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมพิจารณารายงานดังกล่าว และมีมติด้วยเสียงข้างมาก ให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามมาตรา ๙๕ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ ทั้งสองกรณี เฉพาะกรณีที่สองซึ่งเป็นมูลคดีนี้ นายอภิชาต สุขขัคคานนท์ (ซึ่งเป็นเสียงข้างน้อย) เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้จ่ายเงินที่ได้รับการสนับสนุนเป็นไปตามวัตถุประสงค์จริง จึงเห็นควรให้ยกคำร้อง หลังจากนั้น นายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) มีคำสั่งเมื่อวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าว วันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง เสนอความเห็นต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง วันเดียวกันนั้น นายอภิชาต สุขัคคานนท์ได้บันทึกความเห็นไว้ท้ายหนังสือแจ้งผลการพิจารณาของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงว่า อาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ จึงเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาด่วน และได้มีการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งในวันเดียวกันนั้น โดยที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเป็นเอกฉันท์สำหรับคำร้องตามกรณีนี้ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์โดยให้เสนอเรื่องต่ออัยการสูงสุดเพื่อดำเนินการต่อไปตามมาตรา ๙๕ แต่นายอภิชาตมีความเห็นส่วนตนตามที่ลงมติว่าให้นายทะเบียนพรรคการเมืองโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๓ วรรคสอง ต่อมาวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้ประชุมกันอีกครั้งหนึ่งโดยนายทะเบียนพรรคการเมืองในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) ไม่ได้เข้าประชุมด้วย และคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติเป็นเอกฉันท์ เห็นชอบให้นายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ โดยถือว่าความเห็นของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ที่ลงมติไว้ในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย คือ ความเห็นของประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) ที่ลงมติไว้เป็นความเห็นส่วนตนในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง (นายอภิชาต สุขัคคานนท์) หรือไม่
๑๐. ศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ จะบัญญัติให้ประธานกรรมการการเลือกตั้งเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่ก็แยกอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้ต่างหากจากกัน โดยศาลรัฐธรรมนูญได้หยิบยกบทบัญญัติในกฎหมายที่กำหนดอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้งและนายทะเบียนพรรคการเมืองมาแสดงให้เห็น  และศาลรัฐธรรมนูญเห็นต่อไปว่า ในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ได้ทำความเห็นไว้ ๒ ความเห็น คือ ความเห็นตามที่เกษียนสั่งให้นำเรื่องเข้าที่ประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง โดยระบุชัดเจนว่าเป็นความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง และความเห็นในการลงมติในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเป็นความเห็นในฐานะประธานกรรมการเลือกตั้ง ความเห็นในการลงมติของนายอภิชาต สุขัคคานนท์เมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ไม่อาจถือได้ว่าเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะถ้าหากจะถือเช่นนั้นก็ปรากฏข้อเท็จจริงว่านายอภิชาต สุขัคคานนท์ได้เคยลงมติในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งไปก่อนหน้านั้นแล้วเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้นำเงินสนับสนุนพรรคการเมืองไปใช้ตรงตามวัตถุประสงค์ของโครงการแล้ว ซึ่งในครั้งนั้นก็ไม่ได้ถือว่าความเห็นของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้งดังกล่าว เป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองแต่ประการใด นอกจากนี้ความเห็นในหนังสือเกษียนสั่งของนายอภิชาต สุขัคคานนท์ ก็มิได้เป็นการวินิจฉัยชี้ขาดหรือเป็นความเห็นของนายทะเบียนพรรคการเมืองว่าพรรคประชาธิปัตย์ได้กระทำการอันเป็นเหตุให้ต้องถูกยุบพรรคหรือไม่ แต่เป็นเพียงการเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งพิจารณาว่าอาจมีการกระทำตามมาตรา ๙๔ หรือไม่ก็ได้เท่านั้น และการกระทำตามมาตรา ๙๔ ก็มิได้เกี่ยวกับการใช้เงินสนับสนุนพรรคการเมืองผิดกฎหมาย หรือการรายงานการใช้เงินไม่ตรงตามความเป็นจริง อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๘๒ และเป็นเหตุให้ยุบพรรคตามมาตรา ๙๓ อันเป็นกรณีของคดีนี้แต่อย่างใด เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาตรา ๙๓ แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการยุบพรรคการเมืองฯ การให้ความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งจึงเป็นการกระทำที่ผิดขั้นตอนของกฎหมายในส่วนสาระสำคัญ จึงไม่มีผลทางกฎหมายที่จะให้นายทะเบียนพรรคการเมืองมีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ได้
๑๑. นอกจากเหตุผลดังกล่าวแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญยังให้เหตุผลอีกทางหนึ่งด้วยว่ากรณีข้อกล่าวหาตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.๒๕๕๐ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง คือ ข้อกล่าวหาในมูลคดีนี้นั้น มาตรา ๙๓ วรรคสองมิได้บัญญัติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องเสนอความเห็นด้วยว่าพรรคการเมืองใดมีเหตุตามวรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อขอความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ดังนั้นกรณีนี้นายทะเบียนพรรคการเมืองจะเสนอความเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเหตุตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่งต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้ แต่เมื่อข้อเท็จจริงในคดีนี้ปรากฏว่าเมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะกรรมการการเลือกตั้งได้พิจารณารายงานของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนทั้งสองข้อกล่าวหาแล้ว มีมติเสียงข้างมากให้ส่งเรื่องให้นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ กรณีถือได้ว่าคดีนี้ความปรากฏต่อนายทะเบียนว่าพรรคประชาธิปัตย์มีกรณีตามมาตรา ๙๓ วรรคหนึ่งแล้ว และคณะกรรมการการเลือกตั้งเห็นชอบให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้แล้ว ระยะเวลาที่ต้องยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน จึงต้องเริ่มนับตั้งวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๕๒ อันเป็นวันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติดังกล่าว การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเวลาต่อมา ตลอดจนการประชุมและการลงมติในวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ และวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๓ เป็นการตรวจสอบภายในองค์กรและเป็นเพียงการยืนยันการปรับบทบังคับใช้กฎหมายให้ชัดเจนเท่านั้น เมื่อนายทะเบียนพรรคการเมืองยื่นคำร้องคดีนี้ในวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๕๓ จึงพ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนดแล้ว กระบวนการยื่นคำร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
๑๒. ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก ๔ ต่อ ๒ ว่ากระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยฝ่ายข้างมาก ๑ เสียงใน ๔ เสียง ให้เหตุผลว่าการยื่นคำร้องตามข้อกล่าวหาคดีนี้พ้นระยะเวลาสิบห้าวันตามที่กฎหมายกำหนด และฝ่ายข้างมาก ๓ ใน ๔ เสียง ให้เหตุผลว่าความยังไม่ปรากฏต่อนายทะเบียนพรรคการเมืองว่ามีการกระทำฝ่าฝืนกฎหมาย อันจะเป็นเหตุให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ และนายทะเบียนพรรคการเมืองยังมิได้มีความเห็นว่ามีเหตุให้ต้องยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามมาตรา ๙๓ วรรคสอง และยังมิได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่อย่างใด โดยความเห็นของประธานกรรมการการเลือกตั้งในการประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้งเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ มิใช่การทำความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กรณีไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นอีกต่อไป ให้ยกคำร้อง
๑๓. คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร ได้พิเคราะห์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญดังกล่าวแล้ว เห็นว่าประเด็นหลักที่เป็นปัญหาในคำวินิจฉัยนี้ก็คือ คำวินิจฉัยนี้ได้เกิดขึ้นโดยเสียงข้างมากของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่เป็นองค์คณะหรือไม่  ซึ่งเมื่อพิเคราะห์ข้อเท็จจริงแล้วจะเห็นได้ว่าแม้ศาลรัฐธรรมนูญจะเขียนคำวินิจฉัยว่าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยโดยเสียงข้างมาก ๔ ต่อ ๒ ว่า กระบวนการยื่นคำร้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่เหตุผลของตุลาการเสียงข้างมากแตกต่างกัน คือ มีตุลาการเพียง ๑ คน ที่เห็นว่าการยื่นคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นการยื่นคำร้องพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ส่วนตุลาการอีก ๓ คน เห็นว่าการยื่นคำร้องไม่ได้กระทำการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด กล่าวคือ มีการยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยยุบพรรค ทั้งๆที่นายทะเบียนพรรคการเมือง ยังไม่ได้มีความเห็นและยังมิได้เสนอขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งแต่อย่างใด เหตุผลที่แตกต่างกันของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ เป็นเหตุผลที่แตกต่างกันในแง่ประเด็นของการยกคำร้อง ปัญหาก็คือ ในแง่ของการดำเนินกระบวนพิจารณาและการวินิจฉัยชี้ขาดคดีรัฐธรรมนูญ ศาลรัฐธรรมนูญสามารถตั้งประเด็นและวินิจฉัยในลักษณะดังกล่าวได้หรือไม่
๑๔. ในการพิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาททางรัฐธรรมนูญนั้น การวินิจฉัยเงื่อนไขที่ทำให้ศาลมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา กับการวินิจฉัยในเนื้อหาของคดี จะต้องวินิจฉัยแยกต่างหากจากกัน เงื่อนไขที่ทำให้ศาลมีอำนาจดำเนินกระบวนพิจารณา ย่อมได้แก่ เขตอำนาจของศาลเหนือคดี อำนาจฟ้องคดีของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ร้อง ความสามารถของผู้ฟ้องคดีหรือผู้ร้อง ความสามารถในการดำเนินกระบวนพิจารณา วัตถุแห่งคดี กระบวนการขั้นตอนที่ต้องดำเนินการก่อนการฟ้องคดี ความจำเป็นในการปกป้องคุ้มครองสิทธิ ระยะเวลาในการฟ้องคดี ฯลฯ เงื่อนไขเหล่านี้เป็นเงื่อนไขที่ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องดำเนินการตรวจสอบเสียก่อน หากเงื่อนไขเหล่านี้ดำรงอยู่ครบถ้วน ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะสามารถวินิจฉัยเนื้อหาของคดีได้ ในกรณีที่มีประเด็นโต้แย้งกันว่าเงื่อนไขเหล่านี้ดำรงอยู่อย่างครบถ้วนหรือไม่ ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นที่โต้แย้งกันนั้นทีละประเด็น เช่น หากโต้แย้งกันว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้เสียก่อน โดยตุลาการทุกคนที่เป็นองค์คณะจะต้องออกเสียงวินิจฉัย หากผ่านประเด็นนี้ไปแล้ว มีข้อโต้แย้งกันอีกว่า คำร้องดังกล่าวได้ยื่นภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ตุลาการทุกคนก็จะต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้เช่นกัน การกำหนดประเด็นวินิจฉัยชี้ขาดเช่นนี้ จะทำให้ในที่สุดแล้วคำวินิจฉัยเกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะ และจะปรากฏเหตุผลในคำวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าคดีนั้นศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีโดยอาศัยเหตุผลในทางกฎหมายเรื่องใด หากไม่กำหนดประเด็นวินิจฉัยเช่นนี้ แต่กำหนดประเด็นรวมๆกันไป สุดท้าย ย่อมจะหาเสียงข้างมากขององค์คณะไม่ได้  เช่น หากมีตุลาการในองค์คณะ ๖ คน ตุลาการสองคนอาจยกคำร้องเพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในเขตอำนาจศาล ตุลาการอีกสองคนเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจ แต่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีอำนาจฟ้อง ตุลาการอีกสองคนเห็นว่าคดีอยู่ในเขตอำนาจเช่นกัน แต่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าฟ้องเกินระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด เช่นนี้จะถือว่าเหตุผลที่ยกคำร้องคืออะไร เพราะการยกคำร้องโดยอาศัยเหตุใดเหตุหนึ่งนั้น จะมีผลต่อการนำคดีมาฟ้องใหม่ไม่เหมือนกัน
๑๕. ในคดีนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องเพราะเหตุที่การยื่นคำร้องกระทำการข้ามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดทำให้นายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีอำนาจยื่นคำร้อง มี ๓ คน จากตุลาการที่เป็นองค์คณะจำนวน ๖ คน ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าเป็นเสียงข้างมากขององค์คณะ ในขณะที่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ยกคำร้องเพราะเห็นว่าการยื่นคำร้องได้กระทำเมื่อพ้นระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไปแล้วมีเพียง ๑ คน จากตุลาการที่เป็นองค์คณะจำนวน ๖ คน ซึ่งก็จะถือว่าเป็นเสียงข้างมากขององค์คณะไม่ได้เช่นกัน การลงมติเพื่อให้ได้เสียงข้างมากในคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะต้องกำหนดประเด็นเสียก่อนว่าผู้ร้องมีอำนาจยื่นคำร้องหรือไม่ และตุลาการทุกคนต้องวินิจฉัยในประเด็นนี้ ในกรณีที่ลงมติไปแล้วยังหาเสียงข้างมากไม่ได้ จะต้องลงมติใหม่อีก และหากจำเป็นก็จะต้องกำหนดประเด็นย่อยลงไปอีก และให้ตุลาการที่เป็นองค์คณะวินิจฉัยทีละประเด็นในลักษณะที่ตุลาการที่มีสิทธิออกเสียงวินิจฉัย หากได้วินิจฉัยอย่างใดไปแล้วในประเด็นก่อนในฝ่ายข้างน้อย ตุลาการผู้นั้นจะต้องรับเอาผลของการวินิจฉัยในประเด็นถัดไปและต้องออกเสียงวินิจฉัยด้วย เพื่อจะได้ผลการวินิจฉัยที่เกิดจากเสียงข้างมาก เมื่อผ่านประเด็นเรื่องอำนาจในการยื่นคำร้องแล้ว ศาลรัฐธรรมนูญจึงจะสามารถวินิจฉัยในประเด็นเรื่องของระยะเวลาในการยื่นคำร้องเป็นลำดับถัดไป มีข้อสังเกตว่าการที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดประเด็นวินิจฉัยในลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น และเขียนเหตุผลในคำวินิจฉัยทั้งสองกรณีลงในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ย่อมทำให้เกิดความสับสนต่อไปว่าตกลงแล้ว เหตุผลที่ศาลรัฐธรรมนูญใช้ในการยกคำร้องคือเหตุผลใดกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญยังขัดแย้งกันเองในบางส่วนอีกด้วย คือ ฝ่ายที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๓ คน เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองจะต้องมีความเห็นให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์เสียก่อน จึงจะเสนอเรื่องให้คณะกรรมการการเลือกตั้งให้ความเห็นชอบได้ ในขณะที่ฝ่ายที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๑ คน เห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองจะเสนอความเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเหตุตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฯ มาตรา ๙๓ วรรคหนึ่ง (ซึ่งเป็นเหตุให้ยุบพรรคการเมือง) ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งหรือไม่ก็ได้
ด้วยเหตุที่ได้แสดงให้เห็นดังกล่าวนี้ คณาจารย์คณะนิติราษฎร์จึงเห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากเสียงข้างมากขององค์คณะ ไม่ชอบด้วยหลักการทำคำวินิจฉัยในทางตุลาการ และเกิดปัญหาขึ้นตามมาว่าคำวินิจฉัยดังกล่าวมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ อย่างไร
๑๖. อนึ่ง มีประเด็นที่สมควรแสดงทัศนะไปในคราวเดียวกันเกี่ยวกับการตีความ “กระบวนการและขั้นตอนที่เป็นสาระสำคัญ” ของศาลรัฐธรรมนูญ ว่าสอดคล้องกับหลักการใช้และการตีความกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชนหรือไม่ คดีนี้ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ถูกนับว่าเป็นฝ่ายข้างมาก ๓ คน เห็นว่า การที่นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ได้มีมติเห็นชอบในการประชุมเมื่อวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๓ ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์นั้น ไม่ใช่เป็นการให้ความเห็นในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง แต่เป็นความเห็นในฐานะประธานกรรมการการเลือกตั้ง จึงถือว่านายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้มีความเห็นในเรื่องดังกล่าว กระบวนการยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณาจารย์คณะนิติราษฎร์พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่ในที่สุดแล้ว นายทะเบียนพรรคการเมืองได้ยื่นคำร้องขอให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ตามความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้งก็เท่ากับนายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นโดยปริยายว่าพรรคประชาธิปัตย์กระทำการอันต้องด้วยเหตุที่กฎหมายกำหนด สมควรถูกยุบพรรค ถึงแม้เรื่องนี้อาจมีข้อทักท้วงว่าในการนำเรื่องเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการการเลือกตั้ง นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็นไว้จนเป็นที่ประจักษ์ชัดก็ตาม แต่การที่นายทะเบียนพรรคการเมืองดำเนินการในเวลาต่อมาก็มีผลเป็นการเยียวยาความบกพร่องอันไม่ใช่เรื่องสาระสำคัญไปแล้ว กรณีเทียบเคียงได้กับบทบัญญัติในมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ที่หากเจ้าหน้าที่ผู้ทำคำสั่งทางปกครองซึ่งจะออกคำสั่งทางปกครองได้ จะต้องให้เจ้าหน้าที่อื่นให้ความเห็นชอบก่อน ได้ออกคำสั่งทางปกครองไปโดยไม่ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่อื่นเสียก่อน หากเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจให้ความเห็นชอบนั้น ได้ให้ความเห็นชอบในภายหลัง คำสั่งทางปกครองนั้นก็ย่อมมีผลสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย หาได้เสียเปล่าไป หรือมีปัญหาความชอบด้วยกฎหมายไม่ การที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแยกกระบวนการและขั้นตอนดังกล่าวออกจากกันเป็นส่วนๆ อีกทั้งขั้นตอนดังกล่าวนั้นในเวลาต่อมาก็ถูกเยียวยาแล้วโดยการกระทำขององค์กรผู้ทรงอำนาจ และแยกการกระทำของนายทะเบียนพรรคการเมืองกับการกระทำของประธานกรรมการการเลือกตั้งออกจากกันอย่างสิ้นเชิง โดยมิได้พิเคราะห์เจตนาที่แท้จริงของเจ้าหน้าที่ผู้ทรงอำนาจในเรื่องดังกล่าว คือนายอภิชาต สุขัคคานนท์ มาเป็นเหตุวินิจฉัยยกคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมืองนั้น คณาจารย์คณะนิติราษฎร์ไม่อาจเห็นพ้องด้วยได้
๑๗. โดยที่คดีนี้มีปัญหาในแง่ของการทำคำวินิจฉัยว่าเกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะหรือไม่ และปัญหาในแง่ของเหตุผลในทางข้อกฎหมายที่ใช้ในการยกคำร้องของนายทะเบียนพรรคการเมือง คณาจารย์คณะนิติราษฎร์เห็นว่าองค์กรที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ สมควรจะต้องกระทำเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป การดำเนินการในเรื่องนี้ย่อมรวมถึงการตรวจสอบกฎเกณฑ์ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบการรักษากฎเกณฑ์ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ การตรวจสอบตุลาการศาลรัฐธรรมนูญแต่ละคน ไปจนกระทั่งถึงการตรวจสอบว่าคำวินิจฉัยในคดีนี้ซึ่งมีปัญหาว่าไม่ได้เกิดจากเสียงข้างมากขององค์คณะมีผลในทางกฎหมายหรือไม่ อนึ่ง ในทางปฏิบัติ โดยเหตุที่กรณีนี้ศาลรัฐธรรมนูญยังไม่ได้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดี แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา ๒๑๖ วรรคห้าจะบัญญัติว่า “คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองค์กรอื่นของรัฐ” ก็ตาม แต่เมื่อเหตุผลในคำวินิจฉัยบางส่วนขัดแย้งกันเอง โดยเหตุผลของตุลาการฝ่ายที่ถูกนับเป็นเสียงข้างมาก ๓ คน เห็นว่า นายทะเบียนพรรคการเมืองยังไม่ได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่นายทะเบียนพรรคการเมืองจะได้ให้ความเห็นในเรื่องดังกล่าวเสียให้ชัดเจน เพื่อนำเรื่องเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้วินิจฉัยในเนื้อหาของคดีต่อไป

วรเจตน์ ภาคีรัตน์
จันทจิรา เอี่ยมมยุรา
ประสิทธิ์ ปิวาวัฒนพานิช
ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล
ธีระ สุธีวรางกูร
สาวตรี สุขศรี
ปิยบุตร แสงกนกกุล

คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
ท่าพระจันทร์, ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓.

ที่มา
http://www.enlightened-jurists.com/page/177/Analyse-about-Constitutional-Court-and-Democrat-Party.html

เชิญเพื่อนๆ ที่เห็นด้วยกับคณาจารย์ คณะนิติราษฎร์ นิติศาสตร์เพื่อราษฎร
มาร่วมกันลงชื่อต่อท้ายกันเถอะ

Sunday, August 15, 2010

แม่วีรชน 10 เมษา

                       

ครอบครัวฟุ้งกลิ่นจันทร์สูญเสียลูกชายจากเหตุการณ์ปะทะที่สี่แยกคอกวัวทำให้วันแม่ปีนี้มีความโศกเศร้า-คราบน้ำตาผู้เป็นแม่เท่านั้น

Produced by VoiceTV
12 สิงหาคม 2553 เวลา 19:04 น

ความจริงจากศพ 10 เมษาที่ยังไม่ฌาปนกิจ

                       

รำลึก4เดือนเหตุสลายการชุมนุม 10 เมษาฯผ่านครอบครัว 'ฟุ้งกลิ่นจันทร์'หนึ่งในวีรชนที่ญาติยืนยันไม่เผาศพจนกว่าจะได้รับความยุติธรรม

Produced by VoiceTV
10 สิงหาคม 2553 เวลา 19:29 น.

"พ่อถูกยิง" เพราะไปเรียกร้องประชาธิปไตย

เรื่องราวของแท๊กซี่คนหนึ่ง ที่ยอมสละรถของตนเพื่อขวางการปะทะกันของทหารและผู้ชุมนุม ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อ 10 เม.ย.แต่กลับถูกยิง

นายเวท สิงห์มี นายเวท คนขับแท็กซี่ ถูกยิง
  10 เมษายน 2553
Produced by VoiceTV
11 สิงหาคม 2553 เวลา 20:27 น.
                       

เหยื่อวัยเยาว์จากเหตุปะทะ

เรื่องราวของ'น้องเฌอ'และ 'น้องอีซา' เด็กสองคนที่เสียชีวิตวันเดียวกัน ในช่วงเหตุปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงย่านราชปรารภ

Produced by VoiceTV
6 สิงหาคม 2553 เวลา 19:19 น.
                       

‘แม่เลี้ยงเดี่ยว’ ผลกระทบจากเหตุปะทะ

หลังจากเสียเสาหลักของบ้านจากเหตุปะทะที่ศาลากลางจ.อุดรธานี ทำให้นางอ้วน วงศ์มาต้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวดูแลลูกสาววัย5ขวบตามลำพัง

Produced by VoiceTV
13 สิงหาคม 2553 เวลา 19:27 น.
                       

ภาพสุดท้ายของช่างภาพเนชั่น ที่ต้องแลกด้วยการถูกยิง

การปฎิบัติงานของสื่อมวลชนที่กำลังบันทึกภาพเหตุการณ์กระชับพื้นที่เพื่อนำเสนอความจริงต่อสาธารณะชน แต่กลับต้องถูกยิงบริเวณขาขวา

Produced by voiceTV
8 สิงหาคม 2553 เวลา 19:06 น.
                       

'สิณีนาถ ชมภูษาเพศ' แม่ที่ไม่มีโอกาสเลี้ยงลูก

การถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำทำให้ "สิณีนาถ ชมภูษาเพศ" ไม่มีโอกาสได้เลี้ยงลูกทั้งสามคนด้วยตัวเอง จึงต้องฝากยายวัย 82ปี ดูแลแทน

Produced by VoiceTV
12 สิงหาคม 2553 เวลา 15:58 น
                       

ขอคืนพื้นที่ความจริงตอนที่22 :‘ตาบอดสองข้าง’เพราะแวะดูชุมนุม

วินมอเตอร์ไซค์คนหนึ่งที่ขับรถไปส่งผู้โดยสารบริเวณพรรคพท.และหยุดดูเหตุการณ์ แต่แล้วเขาก็ถูกกระสุนยิงเข้าที่ตาจนบอดทั้งสองข้าง

Produced by VoiceTV
9 สิงหาคม 2553 เวลา 19:22 น.
                       

ขอคืนพื้นที่ความจริงตอนที่14 : เปิดใจ..เหยื่อพฤษภาอำมหิต

รายงานพิเศษขอคืนพื้นที่ความจริงวันนี้ นำเสนอถึงการเสียชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ่ชุมนุม

อาทิตย์ บุญรอด ผู้สื่อข่าววอยซ์ทีวี
Produced by VoiceTV
1 สิงหาคม 2553 เวลา 18:40 น.
                       

หัวอกพ่อ "น้องเฌอ" เด็กวัย 17 ปี เหยื่อพฤษภาอำมหิต

ผู้เสียชีวิตจากเหตุขอคืนพื้นที่จนถึงการกระชับพื้นที่ รวม 88 คน หนึ่งในนี้มีเด็กชายวัยเพียง 17 ปี ที่ชื่อ "สมาพันธ์ ศรีเทพ" หรือ "น้องเฌอ" รวมอยู่ด้วย

Content by Voice TV
2 มิถุนายน 2553 เวลา 14:27 น
                        .

น้องเฌอ'และ 'น้องอีซา' เด็กสองคนที่เสียชีวิตวันเดียวกัน ในช่วงเหตุปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงย่านราชปรารภ

เหยื่อวัยเยาว์จากเหตุปะทะ

เรื่องราวของ'น้องเฌอ'และ 'น้องอีซา' เด็กสองคนที่เสียชีวิตวันเดียวกัน ในช่วงเหตุปะทะระหว่างทหารกับกลุ่มคนเสื้อแดงย่านราชปรารภ

Produced by VoiceTV
6 สิงหาคม 2553 เวลา 19:19 น.
                       

'เด็กออทิสติก' ขอคืนพื้นที่ความจริงจากทหาร

 ขอคืนพื้นที่ความจริง ตอนที่ 18

เรื่องราวของเด็กชายออทิสติกผู้หนึ่งถูกทหารจับตัวและรุมทำร้ายโดยอ้างว่าเขามีใบหน้าคล้ายคนเผายางทั้งที่เขาเป็นเพียงชาวบ้าน

Produced by VoiceTV
5 สิงหาคม 2553 เวลา 19:04
                     

‘บุญมี เริ่มสุข’ ศพที่ 91 จากเหตุปะทะ

เรื่องราวของนายบุญมี เริ่มสุข เหยื่อผู้บริสุทธิ์ ที่เสียชีวิตจากเหตุปะทะ บริเวณชุมชนบ่อนไก่ ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตรายล่าสุดศพที่ 91

Produced by VoiceTV
15 สิงหาคม 2553 เวลา 19:06 น.
                       

Saturday, July 31, 2010

ค้นหาความหมายจากความตาย 90 ศพ

เหตุการณ์เดือน พฤษภา 2553 เนื่องจากรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง จึงทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ถูกตั้งคำถาม


รศ.ดร.กฤตยา อาชวนิจกุล นักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ค้นหาความหมายจากการบาดเจ็บล้มตาย 90 ศพ จากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ คืนความยุติธรรมให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต

รศ.ดร.กฤตยา เคยทำงานอยู่ในศูนย์ฮอตไลน์ ของมหาวิทยาลัยมหิดล ในเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 เธอพบว่า ในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ มีการจัดตั้งองค์กรร่วมภาครัฐ และภาคประชาชน เพื่อติดตามการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ เสียชีวิต และสูญหาย โดยความร่วมมือของกรมตำรวจ กระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานทางการแพทย์ ทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบโปร่งใส

แต่ในเหตุการณ์เดือน พฤษภา 2553 เนื่องจากรัฐบาลเป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง จึงทำให้ขั้นตอนการตรวจสอบข้อเท็จจริงในเหตุการณ์ถูกตั้งคำถาม

Content by VoiceTV

2 กรกฎาคม 2553 เวลา 16:58 น.
                       

เสียงสะท้อน..เหยื่อความรุนแรง

นอกจากผู้เสียชีวิต90ราย จากเหตุความรุนแรงทางการเมือง12มี.ค.-19พ.ค.53 ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกเกือบ2,000คน


แม้ผู้บาด เจ็บส่วนใหญ่จะกลับไปพักรักษาตัวต่อที่บ้านแล้ว แต่ยังทิ้งร่องรอยความบอบช้ำทั้งร่างกายและจิตใจ คุณสันติพงษ์ อินจันทร์ ได้รับบาดเจ็บถูกยิงด้วยกระสุนยางที่ตาขวา และคุณรุ่งศักดิ์ เศตะกาญจนาภรณ์ ถูกสะเก็ดระเบิดที่ขาข้างขวาต้องการให้ความสูญเสียที่เกิดขึ้นเป็นบทเรียน และไม่ต้องการให้ใครต้องมีชะตากรรมเหมือนกับพวกเขา

นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวชีวิตของ คุณศิริพงษ์ ภู่กลั่น พนักงานส่งของซึ่งพิการมาตั้งแต่กำเนิด แต่โชคร้ายถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างที่กำลังขับรถมอร์เตอร์ไซค์ส่งของย่านบ่อน ไก่

Content by Voice TV

19 กรกฎาคม 2553 เวลา 09:58 น.
                       

สมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด และอดีตประธานมูลนิธิกระจกเงา

สมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด และอดีตประธานมูลนิธิกระจกเงา เจ้าของวาทกรรม “ห้ามฉันพูด ฉันก็จะพิมพ์ ห้ามฉันพิมพ์ ฉันก็จะเขียน ห้ามฉันเขียน ฉันก็จะคิด ห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน” สมบัติได้เข้าร่วมการเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อเกิดเหตุการณ์การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และได้นำสีแดงมาใช้เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตย ในนามของคน “เสื้อแดง” การเข้าร่วมการต่อสู้กับคนเสื้อแดง เขายึดแนวทาง สันติวิธี และการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ โดยมีแคมเปญ “วันอาทิตย์สีแดง” เพื่อเเสดงออกตามแนวทางสันติ และเป็นรูปเเบบการเเสดงออกด้วยข้อเท็จจริงในเรื่องของผู้เสียชีวิตเเละผู้ บาดเจ็บที่ไม่ถูกนำขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรม
ภายหลังเหตุการณ์ 10 เมษายน 2553 และ 19 พฤษภาคม 2553 เขาได้เดินทางไปผูกผ้าสีแดงบริเวณป้ายแยกราชประสงค์ โดยเรียกร้องให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์กระชับพื้นที่ ที่นำมาซึ่งความสูญเสียต่อชีวิตและมีผู้บาดเจ็บจำนวนมาก ต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ

การแสดงออกของ สมบัติ บุญงามอนงค์ ทำให้เขาถูกคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน โดยถูกคุมตัวที่ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดนภาค 1 จังหวัดปทุมธานี เมื่อสถานการณ์เริ่มกลับสู่ปกติแล้วศาลจึงอนุญาตปล่อยตัว

แนวคิดและการต่อสู้ของ สมบัติ บุญงามอนงค์ สุดท้ายแล้วจะเป็นดั่งคำที่เขาเคยแสดงออกไว้หรือไม่ “หากห้ามฉันคิด ก็ต้องห้ามลมหายใจฉัน” ติดตามได้ในรายการ Intelligence

20 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:37 น.
                       

อัครเดช ขันแก้ว' ผช.พยาบาล

ตอนที่ 5 'อัครเดช ขันแก้ว' ผช.พยาบาล ที่ช่วยจนนาทีสุดท้าย

การจากไปของ 'อัครเดช ขันแก้ว' ทำให้โลกของครอบครัวขันแก้วดับมืดลง


Content by VoiceTV
23 กรกฎาคม 2553 เวลา 13:11 น.
                       

นางสาวกมนเกด อัคฮาด อาสาสมัครพยาบาล วัย 25 ปี

สดุดีอาสาพยาบาล “กมนเกด อัคฮาด”

นางสาวกมนเกด อัคฮาด อาสาสมัครพยาบาล วัย 25 ปี ซึ่งเสียชีวิตขณะปฎิบัติหน้าที่ในวัดปทุมวนาราม


Content by VoiceTV
24 กรกฎาคม 2553 เวลา 18:52 น
                       

นายมงคล เข็มทอง อาสากู้ภัยปอเต็กตึ้ง วัย 36 ปี Dxx

ตอนที่ 4 'มงคล เข็มทอง' สละชีวิตเพื่อช่วยชีวิต

ใครเป็นคนยิง? และ ยิงทำไม? กลายเป็นคำถามที่ครอบครัวเข็มทองต้องการคำตอบ หลังต้องสูญเสียสมาชิกคนสำคัญในวัดปทุมวนาราม


รายงานพิเศษ ชุด ขอคืนพื้นที่ความจริง 'เมษา-พฤษภา53' ตอนที่ 4 'มงคล เข็มทอง' สละชีวิตเพื่อช่วยชีวิต

วันนี้ (22 ก.ค.53) พบกับเรื่องราวของนายมงคล เข็มทอง อาสากู้ภัยปอเต็กตึ้ง วัย 36 ปี ที่ยอมสละความสุขและอุทิศชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น การเสียชีวิตของเค้าในวัดปทุมวนาราม เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2553 ทำให้ความหวังของพ่อที่ต้องการจะพึ่งพิงยามแก่ชราหมดลงไปด้วย

ติดตามได้จากรายงานพิเศษ ชุด ขอคืนพื้นที่ความจริง 'เมษา-พฤษภา53' เวลา 19.00 - 20.00น. ในรายการ VOICE NEWS ทางวอยซ์ทีวี

Content by VoiceTV

22 กรกฎาคม 2553 เวลา 11:40 น.
                          

ปากคำพยานสังหาร 6 ศพวัดปทุมฯ

รายงานพิเศษขอคืนพื้นที่ความจริงเมษา-พฤษภา53วันนี้นำพยาน2คนที่อยู่ที่เกิดเหตุตั้งแต่ต้นจนผู้ชุมนุมกลับบ้านมาบอกเล่าสิ่งที่เห็น


Content by Voice TV
25 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:27
                       

ขอคืนพื้นที่ความจริง : ความจริงที่พ.ร.ก.ฉุกเฉินห้ามไม่ถึง

ย้อนรอยคำสัมภาษณ์นักข่าวต่างชาติที่ติดอยู่ในวัดปทุมวนาราม บอกเล่าคืนอำมหิตในเขตอภัยทาน


Content by VoiceTV
27 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:17 น.
                          

เสวนา 'พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุ้มครองหรือคุกคาม'

ผู้ได้รับผลกระทบจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมตัวจัดเสวนาในหัวข้อ 'พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คุ้มครองหรือคุกคาม'


Produced by VoiceTV
31 กรกฎาคม 2553 เวลา 18:48 น.
                          

เปิดใจนักเรียนเชียงรายอายุ 16 ปี รายงานตัวสถานพินิจ

ความคืบหน้าเรื่องการดำเนินคดีกับนักเรียน นักศึกษา 5 คน ในจังหวัดเชียงรายที่ถูกตำรวจจับ เพราะแสดงความคิดเห็นทางการเมือง


Produced by VoiceTV
30 กรกฎาคม 2553 เวลา 20:35 น.
                       

คำชี้แจงกรณี 6 ศพวัดปทุมฯจากรัฐบาล

คำชี้แจงจากรัฐบาล กองทัพและศอฉ.ที่พยายามพิสูจน์ว่าวันเกิดเหตุการณ์เสียชีวิต 6 ศพวัดปทุมฯไม่มีทหารอยู่ในพื้นที่ ติดตามจากรายงาน



Produced by VoiceTV

28 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:21 น.
                       

พยานในวัดปทุมฯ ระบุ กระสุนมาจากที่สูง

พยานผู้เห็นเหตุการณ์การเสียชีวิต 6 ศพวัดปทุมฯเผยวินาทีที่กระสุนคร่าชีวิตอาสาพยาบาล 2 คน ใต้เต้นท์ ติดตามได้จากรายงาน



Content by VoiceTV

26 กรกฎาคม 2553 เวลา 19:20 น.
                     

ผมถูกกล่าวหาเป็นผู้ก่อการร้าย เพราะมีหนังสติ๊ก

สิทธิพงษ์ สิทธิสีจันทร์ กลายเป็นผู้พิการทางสายตาเพราะถูกทหารยิงที่ศีรษะ โดยให้เหตุผลเป็นผู้ก่อการร้ายและมีหนังสติ๊ก อาวุธในมือ

Produce by VoiceTV 31 กรกฎาคม 2553 เวลา 17:29 น.  
                     

Thursday, July 29, 2010

V1 นายยงยุทธ ท้วมมี หรือลุงบัง อายุ 52 ปี

-ลุงบังเปิดใจผ่านกรงขัง

วันเดียวกัน นายยงยุทธ ท้วมมี หรือลุงบัง อายุ 52 ปี คนสนิทของพล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธ.แดง อดีตผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก ที่ถูกคุมขังอยู่ในแดน 5 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในข้อหาก่อการร้าย เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ในช่วงที่เสธ.แดงมีชีวิตอยู่ คอยรับใช้หรือที่เรียกติดปากว่า "นาย" เป็นเวลา 3 ปีมาแล้ว โดยเฉพาะเวลาที่เสธ.แดง อยู่ในกรุงเทพฯ ก็จะไปคอยรับใช้ตลอดเวลา ในช่วงการชุมนุมของนปช. ในช่วงตั้งแต่เดือน มี.ค.-พ.ค. ที่เสธ.แดงไปช่วยคอยดูความสงบเรียบร้อย ตนก็ตามไปเกือบตลอดเวลาด้วยเช่นกัน ไปคอยรับใช้ ซื้อข้าวซื้อน้ำ คอยส่องไฟฉายเวลาเสธ.แดงเดิน หรือคอยชิมอาหารที่มีคนเอามาให้ก่อน เรียกว่าถ้ามียาพิษก็จะตายก่อน แต่ไม่ใช่ฐานะของผู้ชุมนุม ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงเลยสักครั้งเดียว

-ยันหรั่งไม่ใช่มือขวาเสธ.แดง

นายยงยุทธ กล่าวต่อว่า ในเหตุการณ์วันที่ 13 พ.ค. ที่เสธ.แดงถูกยิง ก็อยู่ในเหตุการณ์ตลอด โดยทิศทางของกระสุน คาดว่ามาจากฝั่งโรงแรมดุสิตธานี และหลังจากการชุมนุมจบลงตนก็ถูกหมายจับจากศอฉ. แต่หนีไปอยู่ที่จ.อุดร ธานี กระทั่งเมื่อมีหมายจับจากดีเอสไออีกครั้ง ในข้อหาก่อการร้าย จึงตัดสินใจมามอบตัว และถูกส่งมายังเรือนจำในวันที่ 6 ก.ค. ที่ผ่านมา

ผู้สื่อข่าวนำรูปของนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง ที่ดีเอสไอแจ้งข้อหาว่าเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญในคดีก่อการร้าย และเป็นมือขวาของพล.ต.ขัตติยะ มาให้นายยงยุทธดูก็บอกว่ารู้จักคนในรูป และใช่นายหรั่ง โดยถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำเดียวกัน แต่ไม่ใช่มือขวาของเสธ.แดง ก่อนหน้าที่ตนจะถูกจับ ก็ไม่ค่อยเห็นบ่อย ไม่ว่าจะเป็นช่วงก่อนหรือช่วงของการชุมนุม แต่นายหรั่งเคยมาหาเสธ.แดงบ้าง แต่โดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าจะเป็นคนค้าอาวุธได้

-"ป๊อด"ไม่เคยมาชุมนุม

เมื่อนำรูปของส.ต.รชต วงค์ยอด หรือป๊อด ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้ายอีกคนมาให้ดู นายยงยุทธบอกว่า คนนี้ชื่อ "เทวดา" ซึ่งรู้จักกันดี ส.ต.รชตเป็นทหารคนสนิทของเสธ.แดง เพราะในช่วงที่ส.ต.รชต ยังเป็นทหารเกณฑ์ ได้เป็นพลทหารรับใช้ภายในบ้านพักนายทหาร ที่ม.พัน.4 รอ. และในช่วงนี้เห็นส.ต.รชตอยู่กับเสธ.แดงตลอดเวลา ไปไหนมาไหนด้วยตลอด แต่หลังจากที่ส.ต.รชตสอบติดนายสิบและไปประจำการอยู่ที่อ.ปราณบุรี ก็ไม่เคยเห็นอีกเลย รวมถึงในช่วงเวลาในการชุมนุมของนปช. เมื่อช่วงเดือนมี.ค.-พ.ค. ที่ผ่านมา ก็ไม่เคยเห็นส.ต.รชต ปรากฏตัวเลยสักครั้งเดียว และเมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงนายเมธี อมรวุฒิกุล หรือเก่ง ที่อ้างว่าเป็นคนสนิทเสธ.แดงนั้น นายยงยุทธ กล่าวเพียงว่า เคยเห็นเมธีมาหาเสธ.แดงบ้าง

-ร้องขอความเป็นธรรม

พร้อมกันนี้ นายยงยุทธ ยังได้เรียกร้องความเป็นธรรมว่า ไม่เคยทำอะไรผิด ไม่เคยเข้าร่วมชุมนุมกับนปช.สักครั้ง ที่เข้าไปอยู่ในพื้นที่การชุมนุมก็เป็นการรับใช้นายทหารที่รักเท่านั้น ในชีวิตก็ไม่เคยต้องโทษคดีใดมาก่อน ไม่เคยจะต้องมาใช้ชีวิตในคุก ต้องกินนอนลำบาก ต้องทำงาน ทั้งที่ไม่มีความผิดใด นอกจากนี้ ครอบครัวยังไม่มีคนแบ่งเบาภาระ เนื่องจากภรรยาที่ขาไม่ปกติ ต้องเลี้ยงหลานถึง 4 คน ส่วนลูกสาวที่ทำงานอยู่ก็มีวันหยุดเพียงวันอาทิตย์ แต่เรือนจำฯ ไม่อนุญาตให้เยี่ยมในวันเสาร์-อาทิตย์ จึงไม่เคยมีโอกาสได้เจอกัน คิดถึงและอยากเจอลูกสักครั้ง และหากเป็นไปได้ก็อยากพ้นผิด ออกไปอยู่กับครอบครัว ช่วยแบ่งเบาภาระครอบครัวบ้าง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายในบริเวณที่เยี่ยมผู้ต้องหา เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มีญาติของ ส.ต.รชต วงค์ยอด 2 กลุ่ม มาเยี่ยมในเวลา 13.10 น. ที่ห้องเยี่ยมผู้ต้องหาที่ 2 ส่วนนายสุรชัย เทวรัตน์ หรือหรั่ง ก็มีญาติมาเยี่ยมเช่นกัน ในเวลา 13.30 น. ที่ห้องเยี่ยมผู้ต้องหาที่ 5 ที่ติดกับห้องเยี่ยมที่ 6 ของนายยงยุทธ และมีการทักทายกันระหว่างนายหรั่งและนายยงยุทธ


วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7182 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOakk1TURjMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB5T1E9PQ==

R2 นางเบญจวรรณ ทองดี อายุ 55 ปี

-ตั้งรางวัล5หมื่นตามผัวนปช.

จากกรณีที่นางเบญจวรรณ ทองดี อายุ 55 ปี พักอยู่ในบริษัท อัมเท็มเทค จำกัด เลขที่ 47 ม.4 ต.บางโปรง อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ร้องเรียนว่านายดิษชดาศักดิ์ ทองดี อายุ 47 ปี สามีซึ่งทำงานเป็นพนักงานขับรถบรรทุกเหล็กของบริษัท อัมเท็มเทค จำกัด หายตัวเมื่อวันที่ 10 พ.ค. พร้อมกับรถบรรทุก 18 ล้อ ยี่ห้อฮีโน่ สีขาว หมายเลขทะเบียน 97-9855 กทม. โดยในตัวพกบัตรสมาชิกนปช.ไว้ด้วยนั้น



นางเบญจวรรณ กล่าวว่า พอเป็นข่าวออกไป ตนดีใจที่ยังมีคนที่สนใจสอบถามกันมา และตอนนี้คิดว่าถ้าใครที่สามารถพาตัวนายดิษชดาศักดิ์ กลับมาได้ ยินดีจะให้รางวัลเป็นจำนวนเงิน 5 หมื่นบาท ตนก็ไม่มีเงินทองอะไร คิดว่าถ้าได้พบตัวนายดิษชดาศักดิ์ ถึงจะมีหรือไม่ ก็จะหาเงินมาให้เพื่อเป็นรางวัล ตอนนี้เผยแพร่บทความตนต้องหากินคนเดียว ลำบากมาก เพราะลูกกำลังเรียนอยู่ชั้น ม.5 ก่อนหน้านี้ได้ไปให้พระดู พระบอกเขายังมีชีวิตอยู่ ถูกจับเอาไว้แต่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ไปดูมาตั้ง 4-5 วัด แต่จนถึงปัจจุบันนี้ยังไม่พบจะ 3 เดือนอยู่แล้ว

ทางด้านนายนพพล จันทำ อายุ 50 ปี หัวหน้างานของนายดิษชดาศักดิ์ กล่าวว่า ทางบริษัทไม่นิ่งนอนใจ ได้ไปแจ้งความไว้กับตำรวจที่มาบตาพุด จ.ระยอง และสภ.ใกล้เคียง เพื่อให้ตำรวจติดตามตัวและรถหัวลากที่หายไปพร้อมกัน แต่เรื่องยังเงียบหายไป ทางบริษัทพยายามติดตามเรื่องนี้อยู่ตลอด ถ้าทางญาติจะติดตามหา ทางบริษัทก็ให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางตลอด


วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7182 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREk1TURjMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB5T1E9PQ==

R1 น.ส.อลิซาเบ็ธ โพเลนจ์กี้ ชาวอิตาลี

เมื่อเวลา 10.30 น. วันเดียวกัน น.ส.อลิซาเบ็ธ โพเลนจ์กี้ ชาวอิตาลี ซึ่งเป็นพี่สาวของนายฟาบิโอ โพเลนจ์กี้ ช่างภาพชาวอิตาลีที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ทำข่าว ในระหว่างที่เจ้าหน้าที่ทหารเข้ากระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์ เมื่อช่วงเช้าของวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่จากสถานทูตอิตาลี และเพื่อนนักข่าวของน้องชาย เดินทางเข้าพบพ.ต.อ. ชุมพร กาญจนรัตน์ ผกก.สน.ปทุมวัน เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีที่นายฟาบิโอถูกยิงเสียชีวิต โดยใช้เวลาพูดคุยและปรึกษาหารือประ มาณ 2 ชั่วโมง

พ.ต.อ.ชุมพร กล่าวเปิดเผยว่า เบื้องต้นน.ส. อลิซาเบ็ธ พี่สาวของนายฟาบิโอ นักข่าวชาวอิตาลี ได้เดินทางมาที่สน. เพื่อดูสำนวนผลการชันสูตรศพของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่าตรงกับผลการชันสูตรของนิติเวชหรือไม่ นอกจากนี้ ตนยังได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่สถานทูต จนเป็นที่เข้าใจเรียบร้อยแล้ว ซึ่งตนก็ได้แจ้งให้น.ส.อลิซาเบ็ธและทางสถานทูตทราบว่า ขณะนี้คดีได้โอนไปอยู่ในความดูแลของกรมคดีสอบสวนพิเศษ (ดีเอสไอ) แล้ว เนื่องจากเป็นคดีพิเศษที่ไปรวมกับคดีก่อการร้าย ซึ่งตนจะเป็นผู้ประสานงานกับดีเอสไอ เพื่อติดตามความคืบหน้าคดีดังกล่าวให้

-เข้าร้อง"องอาจ"ที่ทำเนียบ

ทางด้านนายนันทพงษ์ ไชยวุฒิ 62 ปี เจ้าหน้าที่ของบริษัทเยอรมันแม็กกาซีน ซึ่งเป็นผู้ประสานงานกับนักข่าวต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย และเป็นผู้พาน.ส.อลิซาเบ็ธเดินทางมาที่สน.ปทุมวัน กล่าวว่า นายฟาบิโอทำงานอยู่กับนิตยสารเยอรมันแม็กกาซีน ซึ่งก็ได้มาเสียชีวิตระหว่างปฎิบัติหน้าที่ โดยตนได้รับการประสานงานให้มาดูแลอำนวยความสะดวกให้กับน.ส.อลิซาเบ็ธ พี่สาวของนายซาบิโอ โดยน.ส.อลิซาเบ็ธได้เดินทางมาจากประเทศอิตาลีถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวานนี้ (27 ก.ค.) จากนั้นก็พามาที่สน.ปทุมวัน เพื่อติดตามความคืบหน้าทางคดีตามคำแนะนำของสถานทูต เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จนน.ส.อลิซาเบ็ธร้อนใจ จึงเดินทางมาดูด้วยตนเอง

ต่อมาเวลา 16.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.อลิซาเบ็ธเดินทางมายังทำเนียบรัฐบาล เพื่อเข้าพบนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รมต.ประจำสำนักนายกฯ ในฐานะกำกับดูแลงานด้านสื่อ โดยใช้เวลาหารือนาน 30 นาที ซึ่งน.ส.อลิซาเบ็ธ กล่าวว่า การมาเมืองไทยหนที่ 2 ของตนในครั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าของคดีการเสียชีวิตของน้องชาย เนื่องจากรู้สึกว่าไม่มีอะไรคืบหน้าเลย ตนไปขอข้อมูลจากตำรวจเขาก็ไม่ให้ และแจ้งให้ทราบว่าคดีนี้ถูกมอบให้ไปอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอแล้ว อย่างไรก็ตาม นายองอาจได้รับปากจะช่วยติดต่อสอบถามเรื่องจากดีเอสไอให้ และได้แสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ร้ายที่เกิดขึ้น

-เตรียมบุกดีเอสไอต่อ 29 ก.ค.

ด้านนายองอาจ ให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.อลิซาเบ็ธมาพบตนเพื่อเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น โดยเขาไม่ได้มาเรียกร้องอะไรจากนายกฯ หรือรัฐบาลไทย เพียงมาขอความร่วมมือว่าเขาอยากได้รายละเอียดการเสียชีวิตของน้องชาย ขอให้ตนช่วยผลักดันไปหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เนื่องจากเขาต้องการขอรายละเอียดการตาย และวันที่ 29 ก.ค. เขาจะไปพบดีเอสไอ ตนบอกว่าจะช่วยประสานดีเอสไอให้ แม้หน้าที่ตนไม่เกี่ยวข้อง แต่จะประสานกระทรวงยุติธรรม ให้ช่วยอำนวยความสะดวก เพื่อให้เขาได้รับข้อมูลให้มากที่สุดเท่าที่อยากได้ เขาไม่ได้มาร้องขออะไร และเขามีความเข้าใจดีต่อขั้นตอนการทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละฝ่ายที่รับผิดชอบคดี นอกจากนี้เขายังบอกว่า อยากขอคนที่เอาข้อมูลในกล้องของน้องชายเขาไปคืนมาด้วย เพราะเขาต้องการเก็บเป็นภาพบันทึกสุดท้ายในประเทศไทย

นายองอาจ กล่าวว่า ตนแนะนำว่าให้เขาไปพบกับคณะกรรมการอิสระของนายคณิต ณ นครด้วย เพราะเป็นคณะกรรมการที่หาข้อเท็จจริงในเรื่องนี้โดยตรง มีอำนาจตามกฎหมายที่จะช่วยเขาแสวงหาข้อเท็จจริงด้วย ซึ่งน.ส.อลิซาเบ็ธได้ขอบคุณ และตนบอกด้วยว่าบางทีเจ้าหน้าที่มีข้อจำกัดในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ซึ่งเขาเข้าใจดี


วันที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553 ปีที่ 20 ฉบับที่ 7182 ข่าวสดรายวัน
http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERXdOREk1TURjMU13PT0=&sectionid=TURNd01RPT0=&day=TWpBeE1DMHdOeTB5T1E9PQ==